tag:blogger.com,1999:blog-16286169987381746432024-02-18T22:32:05.075-08:00มารู้จักฝรั่งเศสกันZAsahttp://www.blogger.com/profile/17162817877063417407noreply@blogger.comBlogger19125tag:blogger.com,1999:blog-1628616998738174643.post-83278288570379755252010-01-20T05:33:00.000-08:002010-01-20T05:53:40.204-08:00ภาษาฝรั่งเศสวันละนิด จ้า + +<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg-tQCGWdiThfKbNTpZWz_zEyndwCWBFib6g3AOm13QHE6WVyVyanfCBap2gtnFE_i2fDjCdu1b8efCdSxQUXuvR7_kIPq7Io9g58SgHxL71D3j9kcOlsuUE2jofiHgSKrg0JKPtqT9qhi2/s1600-h/love.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5428819797609275938" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 310px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg-tQCGWdiThfKbNTpZWz_zEyndwCWBFib6g3AOm13QHE6WVyVyanfCBap2gtnFE_i2fDjCdu1b8efCdSxQUXuvR7_kIPq7Io9g58SgHxL71D3j9kcOlsuUE2jofiHgSKrg0JKPtqT9qhi2/s320/love.jpg" border="0" /></a><br /><div><span style="color:#ff6600;">มารู้จักตัวอักษรภาษาฝรั่งเศสกันค่า....ก่อนอื่นเริ่มต้นด้วยการอ่านออกเสียงตัวอักษรภาษาฝรั่งเศสกัน เหมือนภาษาอังกฤษทุกอย่างแต่อ่านไม่เหมือนกัน</span></div><br /><div></div><br /><div><span style="color:#ff9966;">A อา</span> <span style="color:#33ff33;">B เบ</span> <span style="color:#339999;">C เซ</span> <span style="color:#6666cc;">D เด</span> <span style="color:#ff99ff;">E เออ</span> <span style="color:#ff6666;">F เอ็ฟ</span> <span style="color:#6633ff;">G เจ</span> <span style="color:#999900;">H อ๊าช</span> <span style="color:#000099;">I อี</span> <span style="color:#ff6666;">J จี</span> <span style="color:#ff0000;">K กา</span> <span style="color:#6633ff;">L แอล</span> <span style="color:#003300;">M แอม</span> <span style="color:#cc6600;">N แอน</span> <span style="color:#999999;">O โอ</span> <span style="color:#330033;">P เป</span> <span style="color:#6633ff;">Q กู</span> <span style="color:#999900;">R แอร</span> </div><br /><div>( ออกเสียงในลำคออะ ) ตัวนี้ยากหน่อย <span style="color:#9999ff;">S เอส</span> <span style="color:#990000;">T เต</span> <span style="color:#333399;">U อืว</span> <span style="color:#003300;">V เว</span> <span style="color:#cc0000;">W ดู๊บเบล่อะเว</span> <span style="color:#ffcc00;">X อิกซ์</span> <span style="color:#009900;">Y อิแกร็ก</span> <span style="color:#339999;">Z แซ่ด</span> </div><br /><div></div><br /><div><span style="color:#6666cc;">ภาษาฝรั่งเศสนั้นมีสระเช่นกันค่ะ</span> คือ <span style="color:#ff9966;">Aอา</span> <span style="color:#ff99ff;">Eเออ</span> <span style="color:#000099;">Iอี</span> <span style="color:#333333;">Oโอ</span> <span style="color:#339999;">Uอู</span> <span style="color:#009900;">Yอิแกร็ก</span> </div><br /><div></div><br /><div>เรามาเริ่มเรียน ฝรั่งเศส กันเลยค่ะ...คำทักทาย </div><br /><div><span style="color:#ff9966;">Bonjour</span> บงชูร เป็นการทักทายตั้งแต่เช้าจนถึงตอนเย็น </div><br /><div><span style="color:#009900;">Bonsoir</span> บงซัวร เป็นการทักทายช่วงเย็น - ค่ำ </div><br /><div></div><br /><div><span style="color:#ffcc00;">เวลาเราจะพูดเพื่อแวดงความสุภาพ</span> </div><br /><div>เรามักจะตามด้วยคำว่า <span style="color:#000099;">Monsieur</span> เมอซิเออ เมื่อเราทักคนที่เป็นผู้ชาย </div><br /><div><span style="color:#cc66cc;">Madame </span>มาดาม คุณผู้หญิง ที่แต่งงานแล้ว</div><br /><div><span style="color:#ff99ff;">Mademoiselle</span> มาดมัวแซล นางสาว ค่ะ</div><br /><div></div><br /><div><span style="color:#33ccff;">แต่บางที่ถ้าเราเจอคนที่ สนิทกันแล้ว เราไม่ค่อยทักว่า Bonjour กันนะครับ ส่วนใหญ่ใช่ Salut ซาลู หลังจากการทักทายแล้วเรามาถามสุขภาพกันดีกว่าค่ะ</span><span style="color:#006600;">เรามักจะถามว่า Comment allez-vous? กอมมอง ตาเล่วู้ สบายดีมั้ยค๊าบบ/ค๊า </span></div><br /><div><span style="color:#006600;">เราก็จะมักตอบว่า Bien, merci เบียง แมกซี่ สบายดีๆ ** Merci แปลว่าขอบคุณครับ/ค่ะ พูดติดปากไว้บ่อยๆค่ะ</span></div><br /><div></div>ZAsahttp://www.blogger.com/profile/17162817877063417407noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1628616998738174643.post-24945044321873765912010-01-20T04:40:00.000-08:002010-01-20T05:30:13.231-08:00ประตูชัยของฝรั่งเศส *-*<img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5428804037669859666" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 249px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgrYlwv5RoAaMLR4DuuYowEUqlFT1I6spr6oE_tenzR2mmnNrAgRBKn2Wx2RXQRgNXFjaljsqqeM0tH89f5Z9_HvH-Y9zQfo46SuIVOFAWHIKu_lgiYWvln26bGYRJ1rYO5iw019ULfYunq/s320/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%95%E0%B8%B91.jpg" border="0" /><br /><br /><div><span style="font-size:180%;color:#6633ff;"><strong></strong></span></div><br /><div><span style="font-size:180%;color:#6633ff;"><strong>Arc de triomphe de l'Étoile<br /></strong></span>ประตูชัยฝรั่งเศสอันยิ่งใหญ่อลังการ เรื่องนี้คงต้องย้อนกลับไปเมื่อ ปี ค.ศ. 1667 ในรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 17 ที่ทรงมีพระบัญชาให้สร้างถนนเพื่อเข้าสู่สวน Jardin des Tuileries ที่อยู่ติดกับพระราชวังจนมาถึงรัชสมัยของ นโปเลียน โบนาปาร์ต(นโปเลียนที่ 1) จอมทัพผู้ยิ่งใหญ่ของฝรั่งเศสซึ่งนำกองทัพที่แข็งแกร่งชนะศึกสงครามมากมาย เมื่อนโปเลียน โบนาปาร์ตเดินทางผ่านถนนเส้นนี้ก็ทรงดำริให้สร้าง ประตูชัยเพื่อสดุดีแก่แก่วีรชนทหารกล้าที่ได้ร่วมรบเพื่อประเทศฝรั่งเศสกองทัพฝรั่งเศส จากนั้นจึงมีการเริ่มสร้างประตูชัยขึ้นในปี ค.ศ. 1806 และเสร็จสิ้นในปี ค.ศ. 1836 โดยมี ฌอง ชาลแกร็ง เป็นผู้ออกแบบประตูชัยฝรั่งเศส ดูโดดเด่นอลังการ งดงามไปด้วยงานศิลปกรรมแบบนีโอคลาสสิคที่ได้ดัดแปลงมาจากแบบโรมันโบราณ มีความสูงราว 50 เมตร และกว้าง 45 เมตรจากประตูชัยมาต่อกันที่ถนนชองป์ เอลิเซ่ที่อยู่คู่กัน ถนนสายนี้เป็นแหล่งช้อปปิ้งชื่อดัง มากไปด้วยร้านขายของแบรนด์ต่างๆ ซึ่งก็คงเป็นที่ถูกอกถูกใจของบรรดาสาวน้อย-สาวใหญ่ผู้พิสมัยการช้อปปิ้ง<br /><br /></div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5428807926288737682" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 214px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjHgqYAb7BCX6gOCuL7pepV_oXTUv3d2Egj3K35ljFpR1JFCf_YZ2TXgCrimA89H23t_yc_zLByn194CspZ4NpdqOFZPoG_bR8Ctgm2Bf0R3p7Vic8zvo5ZDZgfUg9iU5uIc1qktA9Ah5XK/s320/%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%B0.bmp" border="0" /><br /><div align="center"></div><br /><div align="center">นอกจากเป็นถนนสายช้อปปิ้งแล้ว ชองป์ เอลิเซ่ ต้นแบบแห่งถนนราชดำเนินยังเป็นถนนสายงามที่ยามค่ำคืนจะเพริศแพร้วไปด้วยแสงสีจากไฟดวงที่ประดับประบนถนนสายนี้ ซึ่งก็ทำให้คนที่ไม่ชอบการช้อปปิ้งเดินชมกันเพลินตาดีไม่น้อยอีกจุดหนึ่งที่เป็นไฟล์ทบังคับแห่งปารีสว่าไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงก็คือ พิพิธภัณฑ์ ลูฟ ที่อยู่ไม่ไกลกันลูฟ เป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ที่อยู่ในพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดของโลก นั่นก็คือพระราชวัง Palais du louvre เมื่อมาถึงยังลูฟสิ่งแรกที่เตะตาเรามากๆก็คือ พีระมิดแก้ว ที่ใครได้ดู“รหัสลับดาวินชี” อาจแอบคิดเล็กน้อยถึงปานกลางว่าใต้พีระมิดแก้วอาจมีสิ่งสำคัญระดับเขย่าภพสะเทือนโลกซ่อนอยู่<br /></div><div align="center"></div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5428804114379682434" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 214px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgwvHExeyEtiKqr_ssa12BMEW17Zq27uh_GjS9j52fBiwP1VFChyphenhyphenoqPPuOLK6slSJwufFmaV2sNLo8peUkLOIqsr-PHjH1ppQWjFZdK0XQ0V74HT9E1W_MUlpYBCp5AlWdfY6A6cTYIu87J/s320/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%95%E0%B8%B92.jpg" border="0" /><br /><div><br /><div align="center"><span style="font-size:0;"><span style="color:#ff6666;"><strong><span style="font-size:180%;"></span></strong></span></span></div><br /><div align="center"><span style="font-size:0;"><span style="color:#ff6666;"><strong><span style="color:#009900;"><span style="font-size:180%;">ประวัติ</span><br /></span></strong><span style="font-size:130%;"><span style="color:#009900;">ประตุ๖ชัยฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในอนุสรณ์สถานที่โด่งดังที่สุดของกรุงปารีส ได้ถูกมอบหมายให้สร้าง ปี พ.ศ. 2349 หลังจากจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ได้รับชัยชนะในยุทธการเอาสเตอร์ลิทซ์</span> <span style="color:#33cc00;">กว่า</span><span style="color:#009900;">จะวางรากฐานของการก่อสร้างก็ใช้เวลาเกือบ 2 ปี และในปี พ.ศ. 2353 เมื่อจักรพรรณดินโปเลียนที่ 1 เสด็จกรุงปารีสจากทิศตะสวันตกพร้อมด้วยเจ้าสาวอาร์คดัชเชสมารี หลุยส์แห่งออสเตรีย ประตูชัยฝรั่งเศสก็ถูกสร้างขึ้นด้วยไม้ในแบบจำลองเท่านั้นเอง สถาปนิกฌอง ชาลแกร็งได้เสียชีวิตลงในปี พ.ศ. 2354 ดังนั้นอูยงจึงได้ดูแลงานนี้ต่อมา</span> <span style="color:#009900;">ในช่วงราชวงศ์บูร์บงฟื้นฟู การก่อสร้างได้หยุงชะงักลงและไปเสร็จสิ้นในรัชสมัยพระหลุยส์-ฟิลิปป์ ในระหว่าง พ.ศ 2376 - พ.ศ.2379</span></span></span></span><span style="font-size:0;"><span style="color:#ff6666;"><span style="font-size:130%;"> <span style="color:#009900;">โดยสถาปนิกคือกูสต์ ต่อมาคืออูโยต์ภายใต้การดูแลของหลุยส์-เอเตียนน์ เดอ ตูรี</span> (Louis-Étienne Héricart de Thury)</span></span></span></div></div>ZAsahttp://www.blogger.com/profile/17162817877063417407noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1628616998738174643.post-19109507443942081442010-01-20T04:25:00.000-08:002010-01-20T04:39:54.619-08:00ที่มาของวันโกหกโลก (April Fool's Day)<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEikkAoHnIBpoA777NsBEU3j6hDSZCAmPjnwlBTDnJ9paaMg8VsZMuG7hed8AwvlLjCqwn8vnmEn0Hy79W2BQaiN4l_uyd76H47ZA5swYf5Y0KRWhsGWBu7E7YAVIvcgdf9eEnTmEeRvADAF/s1600-h/à¹à¸à¸«à¸.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5428800561188684034" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 45px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEikkAoHnIBpoA777NsBEU3j6hDSZCAmPjnwlBTDnJ9paaMg8VsZMuG7hed8AwvlLjCqwn8vnmEn0Hy79W2BQaiN4l_uyd76H47ZA5swYf5Y0KRWhsGWBu7E7YAVIvcgdf9eEnTmEeRvADAF/s320/%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%81.jpg" border="0" /></a><br /><div> วันเอพริลฟูลส์ (April Fool's Day) หรือเรียกในชื่ออื่นว่า วันเมษาหน้าโง่, วันโกหกเดือนเมษายน, วันเทศกาลคนโง่ เป็นเทศกาลในวันที่ 1 เมษายน วันนี้เป็นวันที่จะอนุญาตให้โกหกต่อกันได้ โดยไม่ถือโกรธ ในหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับของวันนี้ อาจมีเหตุการณ์น่าตกใจ ตื่นเต้นเป็นหัวข้อข่าว แต่แล้วในวันรุ่งขึ้นต่อมา จึงได้เฉลยว่าข่าวที่ลงไปนั้นไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เทศกาลนี้เริ่มขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศสและเป็นที่นิยมกันไปทั่วโลก ในประเทศไทยเริ่มเป็นที่นิยมกันมากขึ้นเรื่อยๆ วันโกหก มีชื่อเรียกว่า วันเมษาฯ หน้าโง่ หรือ April’s Fool Day ประวัติของวันๆนี้ เริ่มต้นที่ประเทศฝรั่งเศส ในยุคศตวรรษที่ 16 ตอนนั้นชาวฝรั่งเศสมีวันปีใหม่ตรงกับวันที่ 1 เมษายนกระทั่งมาถึง ค.ศ.1562 โป๊ป เกรกอรี จึงกำหนดให้ชาวคริสต์ทั่วโลกฉลองวันปีใหม่พร้อมกันวันที่ 1มกราคมคราว นี้สมัยก่อน ข่าวสารไม่ได้กระจายรวดเร็วเหมือนสมัยนี้ คนบ้านนอกของฝรั่งเศสบางกลุ่มยังไม่รู้ แถมบางคนได้ยินแล้วก็ยังไม่เชื่อ เลยฉลองวันปีใหม่กันวันที่ 1 เมษาฯเหมือนเดิม ทำให้พวกไม่ตกยุคเย้ยหยันพวกตกยุคว่า “หน้าโง่” แถมยังพยายามจะแกล้งหลอกคนกลุ่มนี้เพื่อความสนุกสนานอีกด้วยวันที่ 1 เมษาฯ ก็เลยกลายเป็นวันที่คนแกล้งหลอกกันด้วยการแต่งเรื่องอะไรก็ไดมาหลอกให้คน อื่นหลงเชื่อ จากนั้นค่อยเฉลยในตอนท้าย ซึ่งเรื่องที่เอามาหลอกนั้นจะต้องไม่ทำให้อีกฝ่ายถึงกับเลือดตกยางออก และคนที่ถูกหลอกจะต้องไม่โกรธด้วย เพราะถือว่า วันนี้เป็นวันพิเศษ ยกเว้นให้หนึ่งวัน</div>ZAsahttp://www.blogger.com/profile/17162817877063417407noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1628616998738174643.post-11458839186354061942010-01-20T03:13:00.000-08:002010-01-20T04:25:16.595-08:00บอกรักแบบภาษาฝรั่งเศส**<div align="center"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEighL8FC7cj4PUcPtwdn0r6XrpPbb2zL0_rMz55tLjifF7oHn43-Ea-rz_WE11TacvAAowjXdSJiFdPx9DHJtWBEpYeboAo-Kxblztn0f9UKeyi14ylaOGlnbRY6Y8zq_zRqsivgXJTki07/s1600-h/หัวà¹à¸.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5428796384884746354" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEighL8FC7cj4PUcPtwdn0r6XrpPbb2zL0_rMz55tLjifF7oHn43-Ea-rz_WE11TacvAAowjXdSJiFdPx9DHJtWBEpYeboAo-Kxblztn0f9UKeyi14ylaOGlnbRY6Y8zq_zRqsivgXJTki07/s320/%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%83%E0%B8%88.jpg" border="0" /></a><br /><div align="center"><span style="color:#339999;"></span> </div><div align="left"><span style="color:#339999;">ภาษาฝรั่งเศส</span><span style="color:#ff9966;">คำอ่าน</span><span style="color:#6600cc;">คำแปลไทย</span><span style="color:#330000;">ภาษาอังกฤษ</span> </div><div align="left"><span style="color:#339999;">Je t'aime.</span><span style="color:#ff9966;">เชอแตม</span> <span style="color:#6600cc;">ฉันรักเธอ</span> <span style="color:#330000;">I love you</span>. </div><div align="left"><span style="color:#339999;">Tu es très beau.</span> <span style="color:#ff9966;">ตู เอ แทร โบ</span> <span style="color:#6600cc;">เธอหล่อเหลือเกิน</span> <span style="color:#330000;">You are so handsome.<br /></div></span><br /><div align="left"><span style="color:#339999;">Tu es très belle.</span> <span style="color:#ff9966;">ตู เอ แทร แบล</span> <span style="color:#6600cc;">เธอสวยเหลือเกิน</span> <span style="color:#330000;">You are so beautiful.<br /></span></div><br /><div align="left"><span style="color:#339999;">Je t'adore.</span> <span style="color:#ff9966;">เชอ ตาดอค์</span> <span style="color:#6600cc;">ฉันบูชาเธอ</span> <span style="color:#330000;">I adore you.<br /></span></div><br /><div align="left"><span style="color:#339999;">Je suis amoureux</span> <span style="color:#ff9966;">เชอ ซุย อามูเคอ เดอ ตัว</span> <span style="color:#6600cc;">ฉันหลงรักหล่อน</span> <span style="color:#330000;">I"m in love with you.</span></div><br /><div align="left"><span style="color:#339999;">de toi. </span><br /></div><br /><div align="left"><span style="color:#336666;">Je suis amoureuse</span> <span style="color:#ff9966;">เชอ ซุย อามูเคอส เดอ ตัว</span> <span style="color:#6600cc;">ฉันหลงรักเขา</span> <span style="color:#330000;">I"m in love with you</span>.</div><br /><div align="left"><span style="color:#336666;">de toi.</span><br /></div><br /><div align="left"><br /><span style="color:#003333;">Je suis fou de toi.</span> <span style="color:#ff9966;">เชอ ซุย ฟู เคอ ตัว</span> <span style="color:#6600cc;">ฉันคลั่งไคล้หล่อนเหลือเกิน</span> <span style="color:#330000;">I"m crazy about you.<br /></span></div><br /><div align="left"><span style="color:#336666;">Je suis folle de toi.</span> <span style="color:#ff9966;">เชอ ซุย โฟล เดอ ตัว</span> <span style="color:#6600cc;">ฉันคลั่งไคล้เขาเหลือเกิน</span> <span style="color:#330000;">I"m crazy about you.</span><br /><br /><span style="color:#ff99ff;">*สังเกตได้จากคำแปลนะคะว่าคนพูดเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ถ้ารักเขา คนพูดก็ควรจะเป็นผู้หญิง ถ้ารักหล่อน คนพูดก็ควรจะเป็นผู้ชาย<br />คำศัพท์เกี่ยวกับความรัก<br /></span></div><br /><div align="left"><span style="color:#66cccc;">l'amour (m.)*</span> <span style="color:#ff9966;">ลามูค</span> <span style="color:#6600cc;">ความรัก</span> <span style="color:#330000;">Love<br /></span></div><br /><div align="left"><span style="color:#66cccc;">mon petit ami</span> <span style="color:#ff9966;">มง เปอติ ตามี</span> <span style="color:#6600cc;">แฟน(ผู้ชาย)</span> <span style="color:#330000;">my boyfriend<br /></span></div><br /><div align="left"></div><br /><div align="left"><span style="color:#66cccc;">ma petite amie</span> <span style="color:#ff9966;">มา เปอติต ตามี</span> <span style="color:#6600cc;">แฟน(ผู้หญิง)</span> <span style="color:#330000;">my grilfriend<br /></span></div><br /><div align="left"><span style="color:#66cccc;">mon chéri</span> <span style="color:#ff9966;">มง เชคี</span> <span style="color:#6600cc;">คนรัก(ผู้ชาย)</span> <span style="color:#330000;">my darling<br /></span></div><br /><div align="left"><span style="color:#66cccc;">ma chérie</span> <span style="color:#ff9966;">มา เชคี</span> <span style="color:#6600cc;">คนรัก(ผู้หญิง)</span> <span style="color:#330000;">my darling</span><br /></div><br /><div align="left"><span style="color:#66cccc;">un bouquet de fleurs</span> <span style="color:#ff9966;">เอิง บูเก้ เดอ เฟลอด์</span> <span style="color:#6600cc;">ดอกไม้ 1 ช่อ</span> <span style="color:#330000;">a bouquet of flowers<br /></span></div><br /><div align="left"><span style="color:#66cccc;">une rose</span> <span style="color:#ff9966;">อูน โคส</span> <span style="color:#6600cc;">ดอกกุหลาบ 1 ดอก</span> <span style="color:#330000;">a rose</span><br /><br /><span style="color:#66cccc;">une boîte de chocolat</span> <span style="color:#ff9966;">อูน บ้วด เดอ ช๊อคโกลา</span> <span style="color:#6600cc;">ช๊อคโกแล็ต 1 กล่อง</span> <span style="color:#330000;">a box of chocolate<br /></span></div><br /><div align="left">*************************************************************************************</div></div>ZAsahttp://www.blogger.com/profile/17162817877063417407noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1628616998738174643.post-27906592049390842862010-01-20T02:42:00.000-08:002010-01-20T02:58:49.677-08:00===> หอไอเฟลสัญลักษณ์แห่งเมืองปารีส <===<div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjVaGjQJihuee8BrsEUr1ZK4DLb5BUVUepXHOZNrHhQTUTOkUGfrcibOfReBGANj8zH4Bvg6oho5w9_4NNbeKTWK2xZMeHllzI5MDew8L4p2ZTejJELinBjIGvHFCRqFS8uilskXmtbfvye/s1600-h/France8.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5428774472335460978" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 240px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjVaGjQJihuee8BrsEUr1ZK4DLb5BUVUepXHOZNrHhQTUTOkUGfrcibOfReBGANj8zH4Bvg6oho5w9_4NNbeKTWK2xZMeHllzI5MDew8L4p2ZTejJELinBjIGvHFCRqFS8uilskXmtbfvye/s320/France8.jpg" border="0" /></a><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5428773227499147122" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg0z-9gmcRiNiNYc_rTTz-yXchbM5oQxoaakIVAfQiaq2tczvXNPg-alUHhyphenhyphenPsDeh5Uk4wxtilEPK0PuLL068My-jgRMpGe6-KaukPKqV21JB2WsbBB6fADbfYcC6E8aUIaZY5rde6g-bJB/s320/eiffelpic1.jpg" border="0" /><br /><div><br /><div> ตลอดหลายยุคสมัย ผู้คนได้ท้ายทายข้อจำกัดทางสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม เพื่อความพยายามที่จะได้ใกล้คิดกับพระเจ้ามากขึ้น มีบางกลุ่มพยายามหาประโยชน์ใช้สอยจากหอคอยในการทำเสาอากาศ ภัตตาคาร แต่สิ่งดึงดูดใจที่แท้จริงกลับมาจากความคิดที่บริสุทธิ์มากกว่านั้น<br />หอคอยเป็นสิ่งที่แสดงถึงความทะเยอทยานของมนุษย์ และหอคอยที่โลกรักมากที่สุดคือ หอไอเฟล (Eiffel Tower) ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นหอคอยที่มีความสูงเสียดฟ้า มีความงามสง่า รูปร่างอ่อนช้อย ซึ่งสะท้อนให้เห็นจิตวิญญาณของฝรั่งเศส หอไอเฟลได้รับการออกแบบและก่อสร้างในปี ค.ศ.1839 มันคือผลงานชิ้นเอกในการ -ฉลองการปฏิวัติฝรั่งเศสอันนองเลือดเมื่อ 100 ปีก่อนหน้า<br />14 กรกฎาคม ค.ศ.1789 ท่ามกลางความต้องการที่จะปฏิวัติ ชาวปารีสได้เข้าโจมตีชนชั้นสูง บุกยึกคุกบัสติล ซึ่งมีผู้มีความคิดขัดแยงทางการเมืองถูกคุมขังเอาไว้ ผู้รัก-ชาติได้รวมตัวกันเพื่อต่อต้านชนชั้นปกครอง ซึ่งเป็นการสร้างพื้นฐานสำหรับการเคลื่อนไหวประชาธิปไตยยุคใหม่<br />อีก 1 ศตวรรษหลังการปฏิวัติ ความภาคภูมิใจของฝรั่งเศสถูกบั่นทอนด้วย ความพ่ายแพ้ของกองทัพต่อเยอรมัน ในปี 1870 และก็ ความคิดที่จะจัดงานแสดงสินค้านานาชาติ จึงเป็นหนทางอันยิ่งใหญ่เพื่อลืมความปวดร้าว และ เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ ความร่ำรวยของประเทศ จึงจำเป็นที่ต้องมีผลงานศิลปะชิ้นเอกที่อวดแก่ฝูงชน และจากความสำเร็จในยุคอุตสาหกรรมจึงนำเสนอความสำเร็จทางวิศวกรรม นั่นคือ หอคอย<br />หอคอยเหมือนเป็นสิ่งที่ชาญฉลาดทางเทคโนโลยี ในอดีตไม่เคยมีใครสร้างหอคอยที่สูงกว่า 1,000 ฟุต หลายคนพยายามลอง แม้กระทั่งในสหรัฐอเมริกาก็มีการออกแบบไว้อยู่หลายแบบ แต่ก็ไม่เคยสร้างจริงขึ้นมา ฝรั่งเศสได้จัดการประกวดเพื่อออกแบบหอคอย แบบแรกถูกเสนอโดย เวอร์ริส คล็อกลิน ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะวิศวกรของ กุสตาฟ ไอ-เฟล (Gustave Eiffel)<br />กุสตาฟ ไอเฟล เป็นทั้งสถาปนิกและวิศวกรชั้นนำของฝรั่งเศส ชื่อเสียงของเขาเกิดจาก การออกแบบสะพานที่เต็มไปด้วยจินตนาการ เขาค้นคว้าเกี่ยวกับแนวคิดในการออกแบบด้วยโครงสร้างโลหะ การที่มี กุสตาฟ ไอเฟล เข้ามาร่วมงาน จึงเป็นเครื่องรับประกันในเรื่องเงินทุนสนับสนุน และความสำเร็จของงาน วิศวกรหนุ่มของ กุสตาฟ ไอเฟล 2 คน คือ เวอร์ริส คล็อกลิน และ เอมิล นูลจิเย เริ่มแนวคิดในการสร้างหอคอยสูง 300 เมตร สำหรับงานแสดงสินค้าในปี ค.ศ.1890 ในปารีสเขาเริ่มร่างแบบโครงสร้างของหอ-คอยอย่างคร่าวๆ และขอให้สถาปนิกชื่อ สตีเฟน สเตาว์เธอร์ ออกแบบส่วนตกแต่งเพื่อเติม ซึ่งมีลักษณะเป็นช่อดอกไม้ โค้ง และมีปติมากรรมเล็กๆ น้อยๆ โดยมีแรงบันดาลใจมาจากแนวคิดทางสถาปัตยกรรมฝรั่งเศส ในปี ค.ศ.1887 ว่า สามารถสัมผัสกับท้องฟ้าในระดับที่เป็นไปไม่ได้ คือ 1,000 ฟุต<br />กุสตาฟ ไอเฟล ได้เห็นแบบแปลนและอนุมัติ เขาได้สนใจแนวคิดเกี่ยวกับหอคอยนี้ และได้ออกแบบส่วนตกแต่งเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาเข้าไปด้วย การมีชื่อ กุสตาฟ ไอเฟล อยู่ในโครงการ ทุกคนรู้ผลลัพธ์ของการแข่งขันนี้ การมีสายสัมพันธ์ทางการเมืองและสังคมของกุสตาฟ ไอเฟล ทำให้มีความพร้อมที่จะผลักดันให้โครงการผ่านหน่วยงานปกครองของปารีสได้อย่างรวดเร็ว และทำให้โครงการจากแบบแปลนสำเร็จเป็นจริงได้ หอคอยซึ่งออกแบบจากความก้าวหน้าในยุคอุตสาหกรรม เป็น งานที่มีความท้าทายทางวิศวกรรม และ กุสตาฟ ไอเฟล จะได้แสดงให้เห็นถึงความความคิดสร้างสรรค์ของเขาที่เคยใช้ในการออกแบบมาแล้ว<br />28 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1887 กุสตาฟ ไอเฟล ได้เชิญแขกมากมายมาเป็นพยานในการก่อสร้าง เขาอายุ 53 ปี และหอคอยจะเป็นความสำเร็จที่สมบูรณ์แบบของเขา ในขณะที่พิธีการเริ่มขึ้น วิศวกร 50 คนต้องช่วยกันร่างแบบ จำนวน 5,300 แผ่นสำหรับคนงาน 132 คน ใช้ในพื้นที่ก่อสร้าง ต้องใช้เวลา 4 เดือน ในการทำฐานรากสำหรับขาของหอ-คอย เสา 2 ต้น ถูกติดตั้งบนฐานคอนกรีตหนา 6 ฟุตครึ่ง ที่ความลึก 23 ฟุตจากระดับดิน และมีขา 2 ข้างที่ใกล้กับแม่น้ำแซนมาก จึงต้องใช้เขื่อนโลหะกันน้ำ ป้องกันในขณะที่ทำการเทคอนกรีตบนพื้นที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำบนพื้นที่สี่เหลี่ยมจตุรัสของฐานหอคอยมีความกว้างด้านละ 426 ฟุต จะมีขาของหอคอยทั้ง 4 ในแต่ละด้าน รองรับน้ำหนักของโครงสร้างโลหะกว่า 7,000 ตัน บนฐานจะเป็นฐานก่ออิฐซึ่งจะฝังสมอยึด 2 ตัวสำหรับขาแต่ละข้าง จากฐานนี้ ขาจะถูกขึ้นเป็นมุม 60 องศาในลักษณะคานโครงเหล็ก คานนี้ประกอบไปด้วยท่อนเหล็กและเหล็กแผ่นที่ถูกยึดติดกันที่ด้านข้าง โครงสร้างที่ได้จะมีความเข็งแรงมาก แต่มีนำหนักเบา ประกอบง่าย ใช้มาตรฐานเดียวกัน และ มีราคาไม่แพง เมื่อประกอบเสร็จจะใช้ชิ้นส่วนโลหะทั้งหมด 18,000 ชิ้น และหมุดยึดอีก 2 ล้าน 5 แสน ตัว เพื่อประกอบเป็นหอคอย ทั้งหมดใช้เพียงเหล็กท่อนแบนและแผ่นเหล็กในการประกอบ<br /></div><div> </div><div><br /> </div><div></div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5428773866424191778" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 300px; CURSOR: hand; HEIGHT: 195px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhIrErYwzc8veFmpTRGmP6AWrNMGK1pGvBTnZ1odciTfQQ4u4OOqv4O-od8THgqf8tuofJNkzVc3cbU7UvUgPdf4uRZtwhlpz5jjeqrmyj4tr6Qsdlk0sRPhFuX4O07edy27QJ8d0s7rugk/s320/eiffelpin2.jpg" border="0" /></div><p align="center">หมุด 2 ล้าน 5 แสนตัว ที่ใช้ยึดโครงเหล็กของหอไอเฟล</p><br /><br /><p align="center"></p><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5428774545413827506" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 217px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhOxI1yZ_KeOYAJf1xLOckE3kDINz9IJ_R0jpWvElqnKr_A9pjdMOzdShmpsR43guirODdgiVtpamGwqZiluUwtZkrtl0mynsqFStBk7dcgtFtrb5zbSVO9LgUe0tRze6DwRoHpEEVC3nXo/s320/00000000000000.jpg" border="0" /><br /><p align="center"></p></div>ZAsahttp://www.blogger.com/profile/17162817877063417407noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1628616998738174643.post-51477502765739258482010-01-18T06:47:00.000-08:002010-01-18T07:28:31.256-08:00ไขปริศนาการสิ้นพระชนม์ของนโปเลียน<img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5428093569268943074" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 96px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh7OZk3I1sa1Z0eMGnjDTloX-CqlxQI5Nh9gBQKMCz_ZPyLA4amJu6u3BECjhJingtCpMEKvQke7OZJJvxtqEJvITGQ4l0OYcbunLHPBKEvvW00PB1hX1Sr9UEFwfh1uVAyWnWbMzeoAHjw/s320/%E0%B8%9B1.jpg" border="0" />ประวัติศาสตร์ได้จารึกไว้ว่า หลังจากจอมจักรพรรดิ นโปเลียน ทรงแพ้สงครามครั้งหลังสุดแล้ว อังกฤษได้นำ พระองค์ไปกักไว้ ณ เกาะเซ็นต์เฮเลน่า อยู่นานถึง 6 ปี จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ด้วยสาเหตุอันใดยังไม่ประจักษ์ชัด แต่สันนิษฐานกันว่า ทรงถูกลอบวางยาพิษ<br />แต่บัดนี้มีผู้พบหลักฐานด้านประวัติศาสตร์เสียแล้วว่า พระองค์ หาได้สิ้นพระชนมชีพอย่างนักโทษ บนเกาะเซ็นต์เฮเลน่าอย่าง อ้างว้างว้าเหว่ ตามที่ทราบกันมาไม่ หากสิ้นพระชนม์ที่อื่นในเวลาหลังจาก วันสวรรคตตามประวัติศาสตร์ หลายปี และในฐานะที่มิใช่นักโทษการเมืองของอังกฤษเสียด้วย<br />ที่เป็นปริศนาน่าขบคิดก็คือ เรื่องนี้เป็นไปได้จริงหรือไม่ ประการใด? ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม สิ่งหนึ่งที่นักประวัติศาสตร์ส่วนมาก ยอมรับกันก็คือ พระเจ้านโปเลียน โบนาปาร์ต นั้นทรงเป็นนักรบ ผู้ยิ่งใหญ่ ที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก เป็นที่เคารพยำเกรง แก่ทวยทหารมากหน้าและ แม้ในยามที่ทรงสูญสิ้นอำนาจวาสนา เสด็จไปประทับอย่างว้าเหว่ที่เกาะเซ็นต์เฮเลน่าในมหาสมุทร แอตแลนติก หลังจากทรงแพ้สงครามที่วอเตอร์ลูในปี ค.ศ.1815 แล้ว ก็ใช่ว่าจะทรงไร้เสียซึ่งมิตรสนิทผู้ศรัทธานับถือพระองค์เลย<br />และมิตรเหล่านั้นล้วนมั่งคั่งและมีอำนาจพอที่จะทำอะไรก็ได้ทั้งสิ้น แม้กระทั่งการลอบพาองค์นโปเลียนหนีออกจากเกาะที่ไม่มีทางหนี!<br /><br /> <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5428095568527450690" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 250px; CURSOR: hand; HEIGHT: 202px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj-MGlUkbzCyft_ZJUVJkL1t1nBJF2b-cNkhAVI73t3feGhQPaD1aN-UPnCK0BrVYMNPTvMLQxdJ5hFKTQf2pigqm3Hr4XqQfK2cNYL0XbBvAzX6XRgI03LhF5GQ2HsfPd6uuLJx77PBjMb/s320/%E0%B8%9B2.jpg" border="0" /> การหลบหนีจาก st. helena <div><div><br /></div><div>ก่อนจะกล่าวถึงเหตุการณ์ลำดับต่อไป ขอให้เรามาทราบกันถึงความลับเล็กๆน้อยๆ ที่รู้กันในหมู่ข้าราชสำนักฝรั่งเศสยุคนั้นก่อนดีกว่า นโปเลียนนั้นทรงมี “ตัวแทน” ที่รูปร่างหน้าตาคล้ายพระองค์อยู่ 2-3 คน ซึ่งโปรดให้ รับสนอง พระบัญชาใกล้ชิดอยู่ตลอดเวลา หนึ่งในจำนวนนั้นมีรูปร่างหน้าตาคล้ายพระองค์มากที่สุด อายุอานาม ก็มากกว่าองค์จักรพรรดิเพียง 2 ปี<br />เขาชื่อ ฟรังซัวส์ อูยีน โรโบด์ เกิดที่หมู่บ้านบาลีย์กูต์ เมื่อปี ค.ศ.1771 หลังจากพระเจ้านโปเลียนทรงแพ้ สงครามและเสด็จนิราศ ไปสู่เกาะเซ็นต์เฮเลน่า ในปี 1815 นั้น โรโบด์ก็กลับไปใช้ชีวิตเงียบๆ อยู่ที่หมู่บ้านบาลีย์กูต์ ของเขาตามเดิม แต่อยู่ที่นั่นได้เพียง 3 ปี เขาก็มีอันหายหน้าหายตา ไปจากหมู่บ้านโดย ไม่มีใครรู้ระแคะระคาย แม้แต่ลูกเมียก็พากันหุบปากแน่น บอกกับใครๆ ที่มาถามไถ่ว่าสามีไปทะเลเท่านั้น </div><div> </div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5428095897361877986" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 200px; CURSOR: hand; HEIGHT: 191px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiZsqB6GG_TIBLcHtu2PdHui6zQfCl-Toz4kw5h6mpMpSW-PYoC7gJB4roXMIxlvTOO67y5Q5ec5qgDfsPdIO-Sze0yBWOiHSnroQlRNOcaYJUw_Yv6F9q4NF68HJbKxJbX4x3ay6bgtly0/s320/%E0%B8%9B3.jpg" border="0" /> ว่ากันว่า นโปเลียนมี ตัวแทนที่คล้ายพระองค์ อยู่ 2-3 คน </div><div>ในเวลาเดียวกันคือปี ค.ศ.1818 ที่เมืองเวโรนาในประเทศอิตาลี ก็มีชายแปลกหน้าท่าทางสง่าผ่าเผยและแต่งกายหรูหราคนหนึ่งเดินทางมาพำนักอยู่ ชายผู้นี้บอกใครๆ ว่าเขาเป็นชาวฝรั่งเศส ชื่อเรอวารด์ ลูกเมียตายหมดแล้ว จึงเดินทางมาหาความสงบในเมืองเล็กๆ แต่สวยงามแห่งนี้ โดยทำมาหากินเปิดร้านขายเครื่องเพชรพลอย โดยที่ไม่ได้สนใจต่อเพชรพลอยเท่าใดนัก กิจการส่วนใหญ่มอบให้นายเปตรุซซี่ ผู้เป็นหุ้นส่วนช่วยทำให้แทน ที่น่าประหลาดใจก็คือ นายเรอวารด์ผู้นี้มี รูปร่างหน้าตา ตลอดจนอายุคล้ายคลึง นโปเลียนมากที่สุดจนใครเห็นใครล้อ<br />น่าสังเกตยิ่งขึ้นไปอีกก็คือเรอวารด์ ไม่ พอใจ และหลบหน้าไปทุกทีที่ใครๆ เกิดล้อเขาว่าเป็น “องค์เอมเพอเรอร์” และแล้วต่อมาในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1821 ที่เกาะเซ็นต์เฮเลน่า บุคคลผู้ที่ใครๆ รู้จักในนามของอดีตพระจักรพรรดินโปเลียนก็สิ้นพระชนม์ ด้วยโรคมะเร็งในพระนาภี<br />ประวัติศาสตร์พากันบันทึกไว้ตรงกันหมดทั้งโลกว่า พระเจ้านโปเลียนสิ้นพระชนม์ ที่เกาะเซ็นต์เฮเลน่าในปี ค.ศ.1821 </div><div> </div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5428096319923713202" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 300px; CURSOR: hand; HEIGHT: 215px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEinPCrKvbNKsZf6-vhdwGwdz7l7SwsPekJ89QQve0wbubvrv4YNUlPcuHvviJUXaklRj5UvR60eSO_2qMnU7rzKnd8pZT6av6r5TBcTWw6kIq6Srz5K7TUglNghQLBzE8TTXWjANKw2tUCF/s320/%E0%B8%9B4.jpg" border="0" /> การเสียชีวิตที่มีเงื่อนงำของนโปเลียน ?<br /><br /><p align="center">ทางด้านเมืองเวโรนา นายเรอวารด์ผู้มีหน้าตาเหมือนนโปเลียนยังคงพำนักอย่าง สุขสบายอยู่ที่นั่น จนกระทั่งต่อมาอีก 2 ปี คือในปี ค.ศ. 1823 ก็มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นกับเขา นั่นคือ อยู่ๆ ในคืนหนึ่งก็มีรถม้าหรูหรา มาจอดหน้าร้านของเรอวารด์ มีชายสองคนลงจากรถมายื่นจดหมายให้เขา นายเปตรุซซี่หุ้นส่วนสำคัญมองเห็นหน้า เรอวารด์เคร่งเครียดด้วยแวว วิตกกังวลใหญ่หลวง ต่อจากนั้นก็เรียกเขา เข้าไปพบ<br />บุคคลที่ใครๆรู้จักในนามเรอวารด์เจ้าของร้านเพชร ยื่นซองจดหมายหนาหนักปิดผนึกแน่นหนาให้เปตรุซซี่แล้วสั่งว่า “เพื่อนยาก ฉันต้องไปธุระสักชั่วระยะหนึ่ง ถ้าฉันไม่กลับมาภายในสามเดือน คุณจงนำจดหมายนี้ไปถวายแด่พระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศสแล้วพระองค์ ก็จะประทานรางวัลให้อย่างงาม แต่จำไว้นะว่า ก่อนที่จะถึงกำหนด 3 เดือน อย่าเปิดจดหมายออกอ่านเป็นอันขาด”<br /></p> <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5428099410018071970" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 164px; CURSOR: hand; HEIGHT: 200px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjIe8FzQa0dy50QMrYig0vjN_WDa8zb-TbKD3fcOOPFvRQkiwtEIcb3Nays_V8xyxCWTWUHMUgVOLJEfThqnwYnIzjq52a8EZ2SmtXmNkbFdGSi_f-V5LjOlrqwD21QP1rFo5tkbIY4cDnd/s320/%E0%B8%9B5.jpg" border="0" /> ชีวิตเดียวดายช่วงสุดท้ายที่เกาะ St. Helena ?<br />ถ้าเรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ก็คงตัดภาพไปสู่ เหตุการณ์อีกอย่าง ซึ่งเกิดขึ้น ณ บริเวณพระราชวังเชินบรูนน์ในประเทศออสเตรีย<br />เป็นคืนวันที่ 4 กันยายน 1823 ทหารรักษาพระราชวังมองเห็นเงาบุรุษลึกลับคนหนึ่งปีนกำแพงวังเข้าสู่พระราชฐานชั้นใน ซึ่งโอรสของนโปเลียน โบนาปาร์ต ประชวรหนักอยู่ด้วยโรคอีดำอีแดง ทหารยามจึงยิงขู่ออกไป เผอิญกระสุนถูกบุรุษผู้นั้นเข้าอย่างจังถึงกับล้มลงเสียชีวิตทันที<br /><br /><br /><p><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5428099737507636786" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 220px; CURSOR: hand; HEIGHT: 168px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjFyplXsLAE1wDjK5-8DKwpDjhrnzB7FH3_QVPgc4KD0diQorPOyuCv3DXEjtklC4coaBpBmVZaETbsUXl2O9Zq1dugXYb5BfNjQ-JBMbUBSXTdI2NRb0n-7REUoFmcv-fB7HKpvkd11Mn4/s320/%E0%B8%9B%E0%B8%9B6.jpg" border="0" /> ศพชายลึกลับถูกนำไปยังกระท่อมในสวนแล้วเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ในวังก็มาตรวจดู พอเห็นรูปร่างหน้าตาของคนตายเข้าเท่านั้น เจ้าหน้าที่ดังกล่าวก็หูตาเหลือก รีบสั่งให้ปิดล็อกประตู หน้าต่างกระท่อมเป็นการใหญ่ ต่อจากนั้นใครต่อใครก็วนเวียนกันมาดูศพราวกับว่าเป็นคนสำคัญเต็มประดา รวมทั้งเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำกรุงเวียนนาด้วย ต่อมาอีกไม่นาน ศพชายคนนั้น ก็ถูกนำเข้าไปภายในพระราชวังเชินบรูนน์ และฝังไว้ในที่เดียวกับสุสานประจำราชวงศ์ ท่านผู้อ่านพอจะเดาอะไรออกรางๆ แล้วใช่ไหมเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้? </p><p>ทางด้านนายเปตรุซซี่ก็เฝ้ารอการกลับของหุ้นส่วนของเขาจนกระทั่ง 3 เดือนผ่านไปก็ไม่มีวี่แววนายเรอวารด์กลับมาสักที เขาเกือบจะทำตามคำสั่งอยู่แล้ว คือนำจดหมายปิดผนึกนั้นไป ถวายพระเจ้าแผ่นดินฝรั่งเศส ก็พอดีมีเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่จากพระราชสำนักฝรั่งเศสมาดั้นด้นตามหาเปตรุซซี่จนพบ มอบเงินให้จำนวนมากถึง 100,000 คราวน์เพื่อแลกกับจดหมายฉบับนั้น พร้อมทั้งขอให้เย็บปากตัวเอง ซึ่งเปตรุซซี่ก็ทำตาม จึงไม่มีใครรู้ความลับเรื่องนี้เลยนอกจากต่อมาในภายหลัง ขอให้เราปะติดปะต่อเหตุการณ์ที่น่า สับสนนี้ดู </p><p> </p><p><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5428100047960058322" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 126px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhb-nd-pb8VUYUm39wcgQD99ghRsW-VYCUxwvFfGeXAnFe7ujKcCjFGTZTF2LTX6DV-tl86LeoaUF5Jx3GbqMkvTZJtl19LHah_Tv5OqnnLgnxuuA5krXJ_a7ig0cFJ3NdAZ_X1Lp6soymn/s320/%E0%B8%9B7.jpg" border="0" />เป็นที่รู้กันดีในหมู่ข้าราชบริพาร ซึ่งเฝ้านโปเลียนอยู่ที่เกาะเซ็นต์เฮเลน่าว่า ในระยะหลังๆ นี้ว่า พระเจ้านโปเลียนของตนมีพระจริยาวัตรผิดไปจากเดิมมาก ทรงมีความจำเสื่อมอย่างร้ายแรงไม่อาจจดจำอะไรได้แม้แต่รายละเอียดของ สงครามซึ่งทรงมีชัยและปราชัย สุรเสียงก็ไม่เหมือนเดิม ที่ร้ายกว่านั้นก็คือ ลายพระหัตถ์ผิดไปจากเดิมด้วย อีกอย่างหนึ่งที่ยืนยันความผิดปกติของนโปเลียนในตอนหลังนี้ก็คือ บรรดาหมอที่มารักษาโรคมะเร็งให้นั้น พากันถวายความเคารพนับถือน้อยจนแทบไม่มีเลย ผิดกับในสมัยที่มาอยู่เกาะใหม่ๆ ในปี 1815 ซึ่งใครๆ ถวายความเคารพสูงสุดในฐานะพระจักรพรรดิทุกประการ<br /><br /><br /></p><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5428100260754012066" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 112px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg1che7C3nyNuOuewkPiIElhYegam6ZKCz9z88y0kgL5GAVTDBrLJ_rIHz_B9ekh-NOQbO-TeivxztPuM-uTS1CDSwj6MwsVAifJo_xDxqM4f3WK2OgXpIJQSaRys4mCkQxPD_wT_Kbq7HM/s320/%E0%B8%9B8.jpg" border="0" /><br />จะเป็นไปได้ไหมที่ว่าบรรดาหมอเหล่านั้นรู้ดีว่าผู้ที่เขารักษามิใช่พระจักรพรรดิที่แท้จริง? เหตุการณ์สอดคล้องอีกอย่างหนึ่งก็คือ ระหว่างปี 1815 ถึงปี 1818 นั้น เกาะเซ็นต์เฮเลน่าอยู่ใต้การควบคุมดูแลของนายพลกูร์การด์ผู้เข้มแข็งและชิงชังนโปเลียน แต่พอถึงปี 1818 นายพลคนนี้ก็ถูกโยกย้ายไปที่อื่น มีนายพลคนใหม่ชื่อแบร์ตรองมาแทน นายพลแบร์ตรองไม่ได้เกลียดชังนโปเลียนอะไรนัก และการควบคุมดูแลก็ลดหย่อนลง...ท่านผู้อ่านอย่าลืม ว่าในปีนี้เองที่ฟรังซัวส์ โรโบด์ ผู้มีหน้าตาเหมือนนโปเลียนได้หายไป จากบ้านที่บาลีย์กูต์ และชายแปลกหน้านามเรอวารด์ไปโผล่ขึ้นที่เมืองเวโรนาในอิตาลี<br /><br /><br /><br /><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5428100503851344226" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 250px; CURSOR: hand; HEIGHT: 181px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEguyTQeW9HXhNyyhPJ1dn0Shxs4s3JvEEtLhyphenhypheneyEiOBeMfIiK7iFS6DrHGujeEsiamJTU9M5d5P4Cx9zv-HHrHDRQ7E0KS3KqHw_VY8aE5w5CnDxiJxx6DKzELTSfRisXfiLAJhFUdAReKT/s320/%E0%B8%9B9.jpg" border="0" /> พ่ายแพ้ยับเยินจากการรุกรานรัสเซีย ในปี 1812<br />นอกจากนั้น ในปีเดียวกันนี่เองภริยาของนายพลแบร์ตรองผู้นิยมนโปเลียน ก็เขียนจดหมายลับไปถึงเพื่อนว่า “...เราทำสำเร็จ นโปเลียนเสด็จออกจากเกาะเซ็นต์เฮเลน่าแล้ว!” จึงน่าจะเป็นไปได้ที่ว่า ด้วยความช่วยเหลือของมิตรผู้มั่งคั่งและเรืองอำนาจ ฟรังซัวส์ โรโบด์ ผู้คล้ายคลึงนโปเลียน ได้ไปจำขังอยู่บนเกาะแทนองค์พระจักรพรรดิ ส่วนนโปเลียนที่แท้จริง เสด็จไปสู่อิสรภาพที่เมืองเวโรนา ในนามของนายเรอวารด์นั่นเอง<br />ส่วนบุรุษลึกลับที่ถูกยิงตายในบริเวณพระราชวังเชินบรูนน์ ซึ่งโอรสของนโปเลียน ประชวรหนัก อยู่นั้น ก็คงไม่ใช่ใคร คือนโปเลียนนั่นเอง ทรงได้รับข่าวประชวรของ โอรสโดยบุรุษผู้มากับรถม้า ซึ่งนายเปตรุซซี่มองเห็นผู้นำข่าวมาถวาย นโปเลียนจึงรีบร้อนเสด็จไปเยือนโอรสจนต้องประสบกับวาระสุดท้าย อันน่าเศร้าสลดและไม่คาดฝัน ณ บริเวณพระราชวังเชินบรูนน์ นั่นเอง ที่จริงเรื่องราวของบุรุษผู้ถูกยิงตายนี้ อาจไม่มีใครคิดลึกไปว่าเป็นองค์นโปเลียนหากข้อเท็จจริง อย่างหนึ่งจะไม่เปิดเผยขึ้นในปี ค.ศ.1956<br /><br /><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5428100822804510898" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 250px; CURSOR: hand; HEIGHT: 183px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhfGGqgldSoMApr6YTsrCkEYf9pFSLlUb-_JzdQvVUJfHSgaowsXfeSpj2vg3qado4htDUulJV8H8vrReztzrOFLFCNClSBFSKBeLGQklZbArAGeb9f9eohrW_urpln9KsnCcHRjJOmaaj6/s320/%E0%B8%9B%E0%B8%9B10.jpg" border="0" /> สงครามวอเตอร์ลู ค.ศ.1815<br /><br />นั่นคือ คณะแพทย์ชาวอังกฤษกลุ่มหนึ่งประกาศว่า ได้มีการตัดเอาลำไส้ส่วนที่เป็นมะเร็ง ของนโปเลียนเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี ทว่า ที่ ลำไส้นั้นกลับปรุเป็นรูอย่างน่าประหลาดใจ อะไรก็ไม่ร้ายเท่า รูนั้นเป็นรูกระสุนปืนชัดๆ...ก็คงเป็นกระสุนที่ทหารรักษาวัง ยิงเอาตอนที่ทรงปีนเข้า พระราชฐานชั้นในนั่นเอง ถึงตรงนี้มีข้อกังขาว่า ไหนๆ นโปเลียนก็ทรงหนีออกจากเกาะได้อย่างสง่าผ่าเผย ทำไมจึงไปจนมุมเอาง่ายๆ ไม่น่าเชื่อ และการลอบปีนพระราชวังก็ไม่น่าจะเป็นวิสัยกษัตริย์เลย ในเมื่อหนีออกจากเกาะซึ่งไม่มีทางหนียังทำได้สำเร็จ สำมะหาอะไรกับการเข้าสู่พระราชวัง เชินบรูนน์ ทรงสามารถที่จะดำเนินเข้าไปอย่างผ่าเผยได้ทุกเมื่อ ไม่น่าจะปีนกำแพงให้ เสื่อมเสียพระเกียรติยศเลย<br />และข้อพิสูจน์ประการสุดท้ายมีอยู่ที่ทะเบียนท้องถิ่นของหมู่บ้านบาลีย์กูต์ ที่นั่นบันทึกไว้ว่า ฟรังซัวส์ โรโบด์ ถึงแก่กรรมที่เกาะเซ็นต์เฮเลน่า โดยไม่ยอมบอกวันเดือนปีที่ตาย...คนที่รู้เรื่องนี้จึงแน่ใจว่า โรโบด์ตายที่เกาะเซ็นต์ เฮเลน่า ในฐานะที่เป็นนโปเลียนโบนาปาร์ต!<br /><p align="center"></p>ZAsahttp://www.blogger.com/profile/17162817877063417407noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1628616998738174643.post-18719757265694534462010-01-18T06:02:00.000-08:002010-01-18T06:45:03.434-08:00ประวัติ coco chanelประวัติ Coco Chanel หรือชื่อจริง Gabrielle Bonheur ดีไซเนอร์ แฟชั่นโลก ที่ชอบไข่มุก เป็นชีวิตจิตใจ จากแฟ้ม ประวัติดีไซเนอร์ กล่าวว่า เกิดอยู่ที่ Saumur เมื่อปี 1883 แล้วตายเมื่อ 10 มกราคม 1971 อายุได้ 88 ปี โดยเธอ ต้องกำพร้า แม่ เมื่ออายุเพียง 12 ขวบ เธอเป็นผู้ปฏิวัติ วงการแฟชั่น ด้วยการได้พบเห็น แฟชั่นโบราณ แบบเก่าๆของ ผู้หญิง ไฮโซ ใส่หมวกใบใหญ่ๆ เสื้อมีคลุ่ยวุ่นวาย มาเป็นการใส่ชุดแบบ ยูนิฟอร์มสีดำเท่ห์ๆ Coco นั้น เป็นชื่อเล่นของ Gabrielle Bonheur ที่เธอได้มาตอนอายุ 18 ปี จากการร้องเพลง ไม่ใช่ชื่อ แต่อ้อนแต่ออก ชีวิตวัยเด็ก เธอมีความยากลำบาก มากๆ<br /><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5428087074666455714" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 218px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEirhdO5cY425scsf56a-OD7t0ts3TfSZexPF4D6D2iHl_sXGQ0J7WkXwY2E8OzsbV7FFNLHSxs7HlRg5TkO3SGr_Qlc4ceMT-grXW7r1bWos-9uJgllkXipLR-l_UOg87UGArLwzdgs7CdP/s320/%E0%B9%81%E0%B8%991.jpg" border="0" /> <div><div><div><br /><br /><p>แต่ Coco Chanel ได้เปิดร้านเป็นครั้งแรก เมื่อ 1910 ตอนอายุ 27 ปี ในปารีส เริ่มจากการทำชุดนักกีฬาและหมวก ต่อมาปี 1921 เธอได้ออก น้ำหอม Chanel No. 5 ซึ่งมันก็เป็นแค่ กลิ่นของน้ำหอม ตัวอย่างหมายเลข 5 เท่านั้นเอง เบอร์ 5 จึงเป็น lucky number ของเธอ แต่ทุกวันนี้ หลายคนก็ยังนิยมชมชอบ No. 5 อยู่ในปี 1924 Coco Chanel ได้นำดีไซแปลกใหม่ ประมาณว่า เป็นต้มหูไข่มุก ที่ ด้านหนึ่งขาว ด้านหนึ่งดำ เข้ามาสู่สังคมแฟชั่นปารีส</p><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5428087273528958210" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 250px; CURSOR: hand; HEIGHT: 208px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEihcKVhMk5O6D-4gqOa8llGkz_j0jK6U0ofA5gbO4zTbzZOW82Xt3JvkebmqFlbuLYtB0QotsxktRLZ59IS78fHSvuMOf8NQSGcbFVwtcKumYS7xupAAA2_e9otYxINhGhO2pWovlX0W8gg/s320/%E0%B9%81%E0%B8%992.jpg" border="0" /><br /><br /><br /><br /><p>นอกจากนี้ Coco ยังได้นำเอา กระโปรงสั้น เข้ามาในวงการแฟชั่น จนทำให้วงการแฟชั่นช่วงนั้น ต้องเปลี่ยนไปทันที เธอได้เปลี่ยนแปลง หลายสิ่งหลายอย่าง ให้กับวงการแฟชั่นปารีส จริงๆ<br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5428088008435985474" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 250px; CURSOR: hand; HEIGHT: 183px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiKdu3Xaj8ndH6FTt15-rdKKJoRdE_SmIJvLlUolvuvLdVRxiI-Br5nVbr-GqSEJZyhcVblgTBFk5TRBP_vOoK-gKH7S0rW6R6iNCjFrZkFB_mt-_ddKUn9vPI-qRXLKEbXfoitxn0NP7Pr/s320/%E0%B9%81%E0%B8%993.jpg" border="0" /></p></div></div></div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5428088178870853522" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 250px; CURSOR: hand; HEIGHT: 188px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg2LvWluCz9CVYQBeDAVs5pMaAndz3u0KiXjKmJGwNGAZuH-ZJPPV71wjTj6AlS67xVokFKu9vNETsPuiKIDBcX-gRE7aQZKB9gFkGRrm8uC2QUKOEdTKVQ1qQR29Rc4pM8Di0ASRqRddoe/s320/coco-chanel-about-4.jpg" border="0" /><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5428088395439615842" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 250px; CURSOR: hand; HEIGHT: 258px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj0kcj7awhTIRxk78_HVSM3xA_1fWyjMWhLFwQS-5OOl9NdVWNA7e1XwEUSX099Y33IeGaccxBiCfgkQjb3hp3xpC5pyNbAw-sHBVBRVHg0w9G4lAY5NA6amAvya5VErcRTR_hThyBs-9iC/s320/coco-chanel-about-5.jpg" border="0" />Coco Chanel มีชื่อเสียงมา ระยะหนึ่ง ( 1953 ) ช่วงนี้ Christian Dior เริ่มเป็นคลื่น ลูกใหม่ที่แรง เข้ามา และในขณะเดียวกัน การมีนักออกแบบ ปารีสรุ่นใหม่ๆ ทีประสบความสำเร็จ เกิดขึ้นมากมาย<br />คนดูแล และออกแบบแฟชั่น งานชุดเดรส ใหม่ๆ ของ Coco<span>Chanel</span> คือ Karl Lagerfeld ซึ่งวันหลัง คงได้มา เล่า ความเก่ง กล้าสามารถ ของดีไซเนอร์ ปู่ Karl Lagerfeld ให้ได้ฟังกัน เขาเป็นคนที่ เข้ามา ปฏิวัติ Chanel เอามากๆ อีกคนZAsahttp://www.blogger.com/profile/17162817877063417407noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1628616998738174643.post-42232549495746126722010-01-18T05:49:00.000-08:002010-01-18T06:01:29.705-08:00วิธีทำครัวซองค์<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj2sRJWRvFuA11uypKz-IgyiM8QVdLG8VpMoJdVY464yGAouprkSb41zNIOpkwFB8UbwM7JwqSPPTrJm1I65SqARkjsVb0qaF_Wi2uZdt7tqhlw7mYfEtnfa8KGm-gA6Y6OpNaeOcX8NfZF/s1600-h/à¹à¸à¸´à¹à¸¡.bmp"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5428078903225752674" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj2sRJWRvFuA11uypKz-IgyiM8QVdLG8VpMoJdVY464yGAouprkSb41zNIOpkwFB8UbwM7JwqSPPTrJm1I65SqARkjsVb0qaF_Wi2uZdt7tqhlw7mYfEtnfa8KGm-gA6Y6OpNaeOcX8NfZF/s320/%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1.bmp" border="0" /></a><br /><div><br /><br /><div align="center"><span style="color:#ff9966;">ส่วนประกอบในการทำ</span></div><br /><br /><div align="center"><span style="color:#6666cc;">ส่วนผสม 1<br />เนยหรือมาการีน 1 ถ้วย, แป้งสาลี 1/2 ถ้วย</span><br /><span style="color:#999900;">ส่วนผสม 2<br />แป้งสาลี 3 3/4 – 4 ถ้วย, เนยหรือมาการีน 1/2 ถ้วย, นมสด 3/4 ถ้วย, ไข่แดง 1 ฟอง, น้ำตาล 1/4 ถ้วย, เกลือ 1/2 – 1 ช้อนชา, ยีสต์ผง 2 ช้อนโต๊ะ </span></div><br /><br /><div align="center"><span style="color:#9999ff;">ส่วนผสม 3<br />ไข่ขาว 1ช้อนโต๊ะ (หรือที่แยกจากไข่ 1 ฟอง), นมสด 1ช้อนโต๊ะ </span></div><br /><div align="center"><span style="color:#9999ff;"></span></div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5428078119120674786" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 261px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiGybRHUOhZeRKEjNlTGRdVf2tG1LxHyHpWwWs2XnpwSmK7UkhVs3WqB-2kssXUPrwNh9jaoK3Dxb0kTTbMQFbPdY4P_JmRG3elhbkUXE2WylXzk_QIFRO9WkyQo-TJJFI_oSjY6KTjLDzA/s320/%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%8B%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C.jpg" border="0" /><br /><br /><div align="center"><span style="color:#9999ff;"><br /><span style="color:#ff99ff;">วิธีทำ<br />คนเนย 1 ถ้วย กับแป้ง 1/2 ถ้วยให้เข้ากัน ตักใส่กระดาษแก้วห่อคลึงให้เป็นแผ่นยาว 12 นิ้ว กว้าง 6 นิ้ว แช่เย็น 1 ชั่วโมง<br />ผสมนม น้ำตาล เกลือ เนย ที่เหลือ 1/2 ถ้วยตั้งไฟพอน้ำตาลละลายทิ้งให้อุ่น ใส่แป้ง 1/2 ถ้วย ใส่ยีสต์คนให้เข้ากัน ใส่ไข่คนให้เข้ากัน แล้วจึงค่อยๆ ใส่แป้งที่เหลือคนให้เข้ากัน นวดประมาณ 15 นาที<br />คลึงให้แป้งเป็นรูปสี่เหลี่ยม 14 x 14 นิ้ว นำเนยที่แช่เย็น วางบนแผ่นแป้ง เพียงครึ่งหนึ่งของแผ่นแป้ง ปิดขอบให้แน่นโดยวิธีบีบแป้งเบาๆ<br />คลึงให้กว้าง 12 นิ้ว ยาว 21 นิ้ว พับ 3 ส่วน คลึงให้กว้าง 12 นิ้ว ยาว 21 นิ้วเท่าเดิม (ถ้าคลึงแล้วเนยเหลวไหลออกมาให้แช่เย็นก่อนคลึง)<br />คลึงให้กว้าง 12 นิ้ว ยาว 21 นิ้วอีกครั้ง แล้วพับ 3 ส่วนให้เหลือ 12 x 7 แช่เย็น 45 นาที (ต่อให้สนิทก่อนแช่) ตัดแป้งเป็น 4 ส่วน แล้วคลึงแป้งแต่ละส่วนให้ได้ 20 x 7 นิ้ว<br />ตัดแต่ละอันให้ได้ 10 ชิ้น จะได้รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยาว 7 นิ้ว กว้าง 2 นิ้ว แล้วจึงตัดทะแยงจะได้สามเหลี่ยมชายธงสูง 7 นิ้ว ฐานกว้าง 2 นิ้ว<br />ม้วนจากฐานขึ้นมาหาชาย วางในถาดไม่ต้องทาไขมัน โค้งฐานให้เป็นรุปพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว วางทิ้งให้ขึ้น 20 นาที ทาด้วยไข่ขาวที่ผสมนม 1 ช้อนโต๊ะ อบไฟ 375 องศาฟาเรนไฮต์ ประมาณ 12 – 15 นาที เมื่อสุกเอาออกจากเตาวางบนตะแกรง เสริฟอุ่นๆ กับชา กาแฟ<br />ลองทำกินดูนะคะ :)<br /></div></span></span></div>ZAsahttp://www.blogger.com/profile/17162817877063417407noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1628616998738174643.post-81653399577361703142010-01-18T05:17:00.000-08:002010-01-18T05:45:29.505-08:00มารู้จักเพลง Elle, tu l'aimes<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgp-1Q0TewmbnRIBy3T3lBC25wL0ZlBY_-eQnK6CZCCRq-lwTvOB2Hcsa5fSNTCmq9dD2FThZdul3gGuxw5h4o2SSXWL7qxWzMFvLj8Us3wvrF1rDmnHS3o8omg2L-BYRQry3VdzSdr617h/s1600-h/1242103299.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5428075500383760194" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgp-1Q0TewmbnRIBy3T3lBC25wL0ZlBY_-eQnK6CZCCRq-lwTvOB2Hcsa5fSNTCmq9dD2FThZdul3gGuxw5h4o2SSXWL7qxWzMFvLj8Us3wvrF1rDmnHS3o8omg2L-BYRQry3VdzSdr617h/s320/1242103299.jpg" border="0" /></a><br /><div><br /><br /><div align="center">Elle, tu l'aimes </div><br /><br /><div align="center">Hélène SEGARA</div><br /><br /><div align="center"><br />Elle tu l'aimes si fort si fortAu point, je sais que tu serais perdu sans elleElle tu l'aimes autant je crois que j'ai besoin de toi<br />Moi j'enferme ma vie dans ton silenceElle tu l'aimes c'est toute la différence<br />Elle tu l'aimes au point sûrementD'avoir au cœur un incendie qui s'éterniseElle tu l'aimes et moi sans toi en plein soleil j'ai froid<br />Plus ma peine grandit en ton absencePlus tu l'aimes c'est toute la différence<br />Elle tu l'aimes si fort si fortAu point, je sais que tu pourrais mourir pour elleElle tu l'aimes si fort, et moi je n'aime toujours que toi </div><br /><br /><div align="center"></div><br /><br /><div align="center"></div><br /><br /><div align="center"></div><br /><br /><div align="center"><span style="font-size:130%;">คำอ่าน</span></div><br /><br /><div align="center"><span style="font-size:130%;">แอล ตู แลม<br /></span>แอล ตู แลม ซิ ฟอร์ต ซิ ฟอร์ตโอ ปวง เชอ เซ เกอะ ตู เซอเคร่ แปร์คดู ซอง แซลแอล ตู แอม โอตอง เชอ ครัว เกอะ เช เบอซวง เดอ ตัว<br />มัว ชองแฟร์คม์ มา วี ดอง ตง วิลองซ์แอล ตู แอม เซ ตูต์ ลา ดิฟเฟครองซ์<br />แอล ตู แลม โอ ปวง ซูค์มองดาวัว โอ เกรอ เอิง แนงซองดี กี เซแตร์นีส์แอล ตู แอม เอ มัว ซอง ตัว ออง แปรน โซเลย เช ฟรัว<br />ปูส์ มา แปรน กรองดี ออง ตง นับซองปูส์ ตู แลม เซ ตูต์ ลา ดิฟเฟครองซ์<br />แอล ตู แลม ซิ ฟอร์ต ซิ ฟอร์ตโอ ปวง เชอ เซ เกอะ ตู ปูร์เคร่ มูร์ครี ปู แอลแอล ตู แลม ซิ ฟอร์ต เอ มัว เชอ แนม ตูชูร์ เกอะ ตัว<br /></div><br /><br /><div align="center">คำแปล</div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5428073079381924914" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 276px; CURSOR: hand; HEIGHT: 352px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjCFnwRgtREBF2l0-CF0PCMmzJ0xIBl7kt7t2FvHtwwbHPnTsM-q_YAkVVJEAeMsaob7CyMbWXjhLwHhBCeGIXelfgMQDtDEhOU4_ByetHbGCM3ER8FcC7wSyQNSeF7mLvaN_11zXoaAAJ6/s320/otot.jpg" border="0" /><br /><br /><div align="center"></div></div>ZAsahttp://www.blogger.com/profile/17162817877063417407noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1628616998738174643.post-52586226514342056922010-01-17T05:17:00.000-08:002010-01-17T05:27:29.511-08:00<div><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5427699107564043794" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 56px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgmw8uaHCh4ejJgrSdyr_-oehDiQPcevWos9eIWmSXu9-hji63lIOuVS4JpgJqAct6mszgVhmrFSHxvEdgoCYsyiWy9gkW1uJq7vlwGcFgQq4TQNKMwV2DpdSpkEZ3yWpniQ8Bxn5QTqA7O/s320/versailles+1.jpg" border="0" /><br /><div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5427699180729996546" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 193px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhNSiqWGkLOIMfPyjHBY6QKJD_PoMdsqVBjJ-zer6frmgA5KGbWdZteOsMtpxAjvPpJywG7gZ8YcPRLI0tbLWFFzRdODGJxL8Y8GOfQeJr-UxruFLVzYZ58cSFCbUGPUQnTuPyfv2yZmnjY/s320/versailles2.jpg" border="0" /><br /><br /><br /><div> พระราชวังแวร์ซายส์ (ภาษาฝรั่งเศส: Château de Versailles) เป็นพระราชวังหลวงแห่งหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส ตั้งอยู่ที่เมืองแวร์ซายส์ อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงปารีส ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของมหานครปารีส พระราชวังแวร์ซายส์เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และสวยงามแห่งหนึ่งของโลก และนับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจจุบันด้วย</div><br /><br /><div></div><br /><br /><div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5427699380993313010" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 233px; CURSOR: hand; HEIGHT: 175px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjIxXcOBKeP3lU_sirljXSMibEMX52H9SIu7HhDjYSrJzvaVFq0uLCt1SksGvUigM2PbhhXs7YQHI32a7ho3_dUCZkHVWW38QAtVBiEOUj0AtwyAUfXEgWPZy0rvzSDKMAh9QrBRhw3ZnMt/s320/versailles3.jpg" border="0" /><br /><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5427699505603613074" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 233px; CURSOR: hand; HEIGHT: 175px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhbG4y8N0KOx13aRWzw4tJvynYydfA1-MK2rggRHbJZ6TMxuPQ1rwFiT3uXyiE2wc-vFHUHWBm6T_QLoyzj76HFk7CZJm2xW-HJPNOxqu5hceyTXNVRRRi8WUVQ9h0CGj5qfbPlI_Nf_xL0/s320/versailles4.jpg" border="0" /><br /> <strong> ประวัติ</strong></div><div> เดิมนั้น เมืองแวร์ซายส์เป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น มีผู้คนอาศัยอยู่เบาบาง บริเวณส่วนใหญ่เป็นป่าเขา เยี่ยงชนบทอื่น ๆ ของฝรั่งเศส เมื่อพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ยังทรงพระเยาว์ ขณะพระชนมายุได้ 23 พระชันษา ทรงนิยมล่าสัตว์ในป่า และทรงเห็นว่าตำบลแวร์ซายส์น่าจะเหมาะแก่การประทับเพื่อล่าสัตว์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระตำหนักขึ้นมาใน พ.ศ. 2167 โดยในช่วงแรกเป็นเพียงกระท่อมเล็กๆ สำหรับพักชั่วคราวเท่านั้นเมื่อ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ขึ้นครองบัลลังก์ มีประสงค์ที่จะสร้างพระราชวังแห่งใหม่ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการปกครองของพระองค์ จึงเริ่มปรับปรุงพระตำหนักเดิมในปี พ.ศ. 2204 ใช้เงินทั้งหมด 500,000,000 ฟรังก์ คนงาน 30,000 คน และใช้เวลาอยู่ถึง 30 ปีจึงแล้วเสร็จในพ.ศ. 2231 ทุกส่วนทำด้วยหินอ่อนสีขาว เป็นแบบอย่างศิลปกรรมที่งดงามมาก ภาย ในแบ่งออกเป็นห้องๆ เช่น ห้องบรรทม ห้องเสวย ห้องสำราญ ฯลฯ ทุกห้องล้วนมีเครื่องประดับงดงามตระการตาและภาพเขียนที่มีชื่อเสียง ภายในพระราชวังมีภาพวาด ภาพแกะสลักซึ่งแสดงให้เห็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศสหลายสมัยสถานที่แห่งนี้เคยใช้เป็นที่เซ็นสัญญาสงบศึกกับอเมริกาในปี ค.ศ 1783 แวร์ซายส์ นับเป็นส่วนหนึ่งของแรงผลักดันที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ในฝรั่งเศส เมื่อปี ค.ศ. 1789 ต่อมาในปี ค.ศ. 1815 พระเจ้าหลุยส์-ฟิลิปป์ได้เปลี่ยนสภาพพระราชวังแห่งนี้ให้เป็นพิพิธภัณฑ์ และใช้เป็นสถานที่ลงนามในสัญญาสงบศึกสงครามโลกครั้งที่ 1 ระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรกับเยอรมัน เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1919 นอกจากเครื่องประดับที่เก่าแก่ และสูงค่าแล้ว การจัดสวนก็เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่างดงามยิ่งนัก เพราะมีการตกแต่งประดับประดาด้วยดอกไม้หลากสีสวยงามมาก โดยเฉพาะตอนฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ส่วนที่เป็นป่าสำหรับล่าสัตว์ปัจจุบันใช้เป็นที่ๆให้ผู้เข้าชมไปเดินเล่น พักผ่อน และมีม้าหินให้นั่งเล่นเป็นระยะๆ การก่อสร้างพระราชวังแวร์ซายส์แห่งนี้ได้นำเงินมาจากค่าภาษีอากรของราษฎร ชาวฝรั่งเศส ต่อมาจึงได้มีกองทัพประชาชนบุกเข้ายึดพระราชวังและจับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 กับพระนางมารี อองตัวเนต ประหารด้วย "กิโยติน" ในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2332 ปัจจุบันพระราชวังแวร์ซายส์ ได้กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์และเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแก่ผู้สนใจเข้าเยี่ยมชมความสวยงาม หากนับเวลาตั้งแต่ก่อสร้างเสร็จ พระราชวังแห่งนี้ก็มีอายุยืนนานถึง 300 ปีเศษ ที่ยังคงความงามอยู่ได้โดยไม่เสื่อมคลายพระราชวังแวร์ซายส์ได้รับจดทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 3 เมื่อปี พ.ศ. 2522 ที่ประเทศอียิปต์<br /><div></div></div></div></div>ZAsahttp://www.blogger.com/profile/17162817877063417407noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1628616998738174643.post-58053312544005122722010-01-17T05:07:00.000-08:002010-01-17T05:16:10.045-08:00ประเพณีแต่งงานของฝรั่งเศส<div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5427696073690057250" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 300px; CURSOR: hand; HEIGHT: 201px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhjmbm4_2UQ_g2jt33uQaJyFXcGbSHPHheXe_hdFSSSzXZY6eFLZ2AgFrkFna_4ehRnUszq2iSGLAzrWtAjBhfI40-t_1yhg756PkHEC4c-VPe8euuZ6g5k3Dach2bIP93Jx8d2Swqb1Wgz/s320/%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9D%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%AA.jpg" border="0" /><br /><div><span style="font-size:130%;"><span style="color:#cc33cc;"> ประเพณีการแต่งงานของฝรั่งเศส<br />ก่อนพิธีแต่งงาน เจ้าสาวฝรั่งเศสจะมีพิธีอาบน้ำเป็นพิเศษ เพื่อชำระล้างสิ่งไม่ดีงามต่าง ๆ รวมถึงอดีตความทรงจำเกี่ยวกับความรักครั้งก่อน ๆ ให้หมดไป เจ้าบ่าวจะไปรับเจ้าสาวที่บ้านของเธอ เด็ก ๆ จะออกมากั้นทางของทั้งสองด้วยริบบิ้นสีขาวซึ่งเจ้าสาวจะเป็นผู้ตัด พิธีแต่งงานของฝรั่งเศสจะเน้นความขาวบริสุทธิ์เป็นหลัก มีการให้พรจากนักบวชภายในโบสถ์ซึ่งอบอวลไปด้วยเครื่องหอมและดอกไม้ต่าง ๆ ขณะที่ย่างก้าวออกจากโบสถ์ คู่บ่าวสาวก็จะถูกโปรยด้วยเมล็ดข้าวสาลี ในงานเลี้ยงบรรดาแขกเหรื่อจะนำดอกไม้มามอบแก่ทั้งสอง เพื่อฉลองการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่สดใสเหมือนดั่งดอกไม้แรกแย้ม และด้วยเหตุผลเดียวกัน เจ้าสาวฝรั่งเศสมักจะประดับผมของเธอด้วยดอกไม้ หรือไม่ก็สวมหมวกมีดอกไม้ประดับประดาอยู่เจ้าบ่าวและเจ้าสาวจะดื่มอวยพรให้แก่กันด้วยแก้วพิเศษที่มีที่จับอยู่สองข้าง ทั้งสองจะดื่มให้แก่กันจากแก้วใบเดียวกันนี้เพื่อแสดงถึงการเริ่มต้นการใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกัน แก้วหรือถ้วยใบนี้จะถูกเก็บไว้เพื่อสืบทอดต่อไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน</span> </span></div><span style="font-size:130%;"></span></div><br /><div><span style="font-size:130%;"><br /><div><br /></div></span></div><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5427696439655440290" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 308px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj-XLe7GuejlRfLmku0y-2o3Z38oWtTCE2nzzbTYCpqiwaLZ31hBiTqeq_co3HlZqgZIppsG3I-zzcPVWdFK7qIIoy_GKyYsbp5R2wdQqq1SVZux0BKc-M1H1XMiyJWEGs4NgMIc4CAd-cL/s320/000007777.jpg" border="0" />ZAsahttp://www.blogger.com/profile/17162817877063417407noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1628616998738174643.post-37942990947503445692010-01-17T01:09:00.000-08:002010-01-17T01:38:29.341-08:00ชุดฝรั่งเศสโบราญ *-*<strong> สไตล์บาโรก (Baroque ~1600 - 1700)</strong><br />จากยุคก่อนหน้านี้ (สมัยเรอเนอร์สซองส์) สุ่มแบบต่างๆได้เข้ามามีบทบาทกับการแต่งตัวของสาวๆ มาถึงยุคนี้ก็ยังคงได้รับความนิยมอยู่ แต่ว่าจะมีลักษณะเปลี่ยนไปเล็กน้อยคือด้านหน้าจะแบนลง เด้งไปป่องด้านหลังแทน ตัวกาวน์ (เสื้อตัวนอก) จะเย็บรวมบอดิซ (bodice) ติดที่เอวแล้วเปิดด้านหน้าไว้ ตรงที่เปิดไว้จะใช้ผ้ารูปสามเหลี่ยมหัวกลับยาวๆ ที่เรียกว่า "สตอมัคเคอร์" (stomacher) เสริมกระดูกดุนให้แข็งๆ แล้วปักลาย หรืออัดด้วยดอกไม้ปลอมให้แน่น หรือประดับด้วยผ้าลูกไม้ แบบที่นิยมที่สุดคือการปิดด้วยริบบิ้นถักสลับไปมา เรียกว่าแบบ "เอแชล" (Eschelle: ขั้นบันได)<br /><br /><br /><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5427635472407469090" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 241px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhqchTX5r9RkPqhMf_MyGcbOAIo9N2E5_Pvn43Sh7jXf0eu3JCGQVag8aYTNzhTKtDg71wH2TjdDezCxAGWW7QgEpGzCBMpw4qF0K5HNUR0i7INj4lE6h6m9iDEXEaRlgk8wR7BVaMv3kap/s320/%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%941.bmp" border="0" /><br /><div><div><div><div><div><div><div><div><div>กาวน์สวมทับเพตติโคท ผูกสตอมัคเคอร์ประดับเอแชล และแขนอังกายัง 4 ชั้น<br />แขนเสื้อที่ยาวจรดข้อศอกประดับจีบลูกไม้ลอนฟูเรียกว่า "อังกายัง" (Engageants) แต่ในช่วงต้นของยุคบาโรก จะนิยมแขนเสื้อแบบโป่งพองฟูฝอย โดยใช้ริบบิ้นมัดเป็นช่วงๆ (นึกถึงแหนมสิตัว ,,=w=,,) แขนแบบนี้เรียกว่า "แขนวิราโก" (Virago sleeves)<br /><br /><br /></div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5427636044028787234" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 175px; CURSOR: hand; HEIGHT: 247px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiadMpkW1MC1zvsWyRwiDjcZaPRVkxtrX1_ZBK2Z8HMpYh8rtXd4KgE9npQl3ZM0gKwuWmN6cPGk4qhe2WyeBjhIKYdhRXDH5gnNV7rD33LjkFpJYpdlsP0FUObb3qQzU_wguHL70D36IX-/s320/%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%942.bmp" border="0" /><br /><div></div>แขนวิราโกกับสุ่มแบบกางออกข้าง สังเกตได้ว่ากระโปรงจะกว้างมากเพื่อที่สาวๆ จะได้สามารถอวดลายผ้าอลังการได้อย่างมีประสิทธิภาพ</div><div> </div><div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5427636310377571442" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 289px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiqbB956-YT3RnMTpWL90-ED5nClksGXCO2muYL8yW6LTKYkc-0c6XvZDBqOhjHZC4tCs7pfSYO_yglEhvuQpWOVb_B-4NoZZT55i5Ek-pQWjWPDWA2QWaQzCcqEcggtIr9U1w9mL_EJb-t/s320/%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%943.bmp" border="0" /></div><div> </div><div> </div><div> บอดิซแขนอังกายัง 2 ชั้นกับสุ่มแบบกางออกข้าง - แน่นอนว่าเดินหน้าตรงเข้าประตูไม่ได้ ต้องเอียงข้างเข้าค่ะ </div><div> </div><div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5427636614714743490" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 218px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiwgdw1kh-YCgv59j7LytAdbsd0ZNoBKLmkTMR8NlzlT2fm3xQprLn_lRczTiCXA_jshlssLpJf2uoktBDCLlrUxq3lLOuPxFAiCSP-J4WrDwT3yje5ExWip22JDR2jJKt-KQtgSgQfkqFE/s320/%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%944.bmp" border="0" /></div><div><br /><br /><br /><br /><br /></div><p>ทรงผมที่นิยมในสมัยนี้มีการเปลี่ยนแปลงหลายแบบ เริ่มจากการหวีเปิดหน้าผาก ตลบผมไปด้านหลังแล้วม้วนเป็นลอนกุนเชียงเล็กๆ เก็บไว้ แบบนี้เรียกว่า "ทรงหัวแกะ" จะเห็นได้จากภาพต่างๆ ด้านบน ยกเว้นภาพเด็กผู้หญิงที่สวมกระโปรงแขนวิราโก เธอไว้ผมแบบ "เฮอร์ลูเบอร์ลู" </p><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5427636815240979042" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 184px; CURSOR: hand; HEIGHT: 250px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjhx61iPIBjmafKFSDfUy6e6n6hRNqP95oR4bM5wetOxVJPHBcrMR-oagMFRSwexup7BklYXX7yFxBh4v7reDSprKqewZyHfaL5e7OZAScNEO6Tbqsme1lMi15mK11w-QABYEZIbhrvkf6S/s320/%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%945.bmp" border="0" /></div><div> </div><div> </div><div> </div><div> </div><div>Hurluberlu ("scattered brain") hair style - ผมทรง "ขมองกระจาย" v(=w=) (ฮา)<br />ช่วงท้ายปลายยุค นอกจากสาวๆจะประดับตัวเสื้อกับกระโปรงแบบมหาศาลบานทะโรด ชนิดที่หนักมากจนต้องอาศัยห่วงเหล็กมาช่วยค้ำชุดแล้ว ทรงผมก็อลังการไม่แพ้กัน แฟชั่นสุดเก๋คือทรงแบบ "ฟองตางเก" (Fontange) โดยการเกล้าผมสูงไว้กลางศีรษะ มัดโบเล็กๆ หลายอันด้านหน้า จากนั้นประกบด้วยลูกไม้จีบเป็นแผง 3 - 4 ชั้น วนไล่ขึ้นไปเป็นยอด ด้านหลังกับด้านข้างทิ้งปอยหยิกห้อยและผูกโบว์ยาว<br /><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5427637028119712242" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 184px; CURSOR: hand; HEIGHT: 250px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgbveWHckpBt_Kbf0z9YgHUmbBYWXJwPEi_qMMEKg4xrAk3Mp8m4gsHdpWRbZ-SRrDtnA7AY4dqlCaLLwbQECyGUy33oc3SL6ZovhIuWjxcD9a_UCuqzScz-gRViJUYwQdb-zzXiuVp-p4t/s320/%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%946.bmp" border="0" /><br /><br /><br /><br /><br /><div>ผมทรงฟองตางเก (อังกฤษเรียก "คอมโมด" :Commode) เล่ากันว่าเกิดจากตอนที่บรรดาราชวงศ์ไปล่าสัตว์ สนมคนหนึ่งของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 กลับออกมาจากพงหญ้าในสภาพหัวฟูกระเจิง เนื่องจากเธอแอบไป*ปี๊บ*กับกษัตริย์มา ด้วยความเขินจึงแก้เก้อด้วยการดึงเชือกถุงน่องมารัดผม ทำเนียนเป็นผมทรงใหม่ไฉไลไฮโซไปซะ<br />.<br />สไตล์โรโกโก (Rococo ~1700 - 1800)<br />พูดถึงโรโกโก ยายดาว่าสนุกที่สุดก็คือทรงผม (หัวเราะ) ทรงผมในยุคนี้อลังการบานทะโรดมากก-กกก เรียกว่ายืนอยู่หัวคุ้ง คนท้ายคุ้งมองมาก็รู้ว่าเป็นใครนั่นแหละ (ฮา) ถ้าไม่เชื่อลองดูรูปนี้สิตัว~<br /><br /><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5427637293326171570" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 232px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgjGVWsyiZBR6FomO_W_XGhtMNCfsjyaYfWQjFKYPGYeVddVaijvv_mIn5sReqJM4sujYkn0186GgrDpnRLrII0tc51OJgiPtdJf6Z0J1JR9VIfI7PwPlL0rzS_UsNIINFslUB_E-o5d-8M/s320/%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%947.bmp" border="0" /><br /><br /><br /><br /><br /></div><div><br /></div>ตอนเอารูปในหนังสือให้แนนดู แนนปาดเหงื่อแล้วพูดว่า "คนเราไม่ควรมีเรืออยู่บนหัวจ้ะดา" (ฮา)<br />อาจจะมีคนเคยได้ยินชื่อ "วิกแบบปอมปาดัวร์" (Pompadure) ก็คือวิกลงแป้งขาวแบบนี้แหละจ้ะ ในช่วงปี 1770 เป็นช่วงที่ขนาดของมันใหญ่ขึ้นถึงขีดสุด แบบที่สาวนำสมัยนิยมใส่กันจะเป็นวิกที่มีความสูงประมาณ 90 cm (3 ฟุตบนหัวน่ะ- - นี่ไม่รวมเครื่องประดับนะคะที่รัก) แบบเบาะๆ เบๆ ก็อยู่ที่ราวๆ 30 cm โครงสร้างของผมเป็นรูปหอคอย ใช้ขนนก อัญมณี ริบบิ้นเสียบๆ เข้าไป ...อา...ไม่อยากจะพูดเลยว่าที่จริงมีอะไรก็โปะลงไปนั่นแหละ (แม้แต่เรือยังโปะไปแล้วนี่คะตะเอง =w=)</div><br /><br /><br /><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5427637501535773714" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 233px; CURSOR: hand; HEIGHT: 283px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh7ywuH1GDkmRVPQo1kM9rILGt1HqQtFtWp_L_7BG_-XV7XKryvzt8espKpXyj3wDB5vvh3FX_8M591ntQ46XWOT_volFKehCKjo4uCydFRQOhjiBYx1Cf09H9JfS05PMaK6ytv7nfzabfO/s320/%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%948.bmp" border="0" /><br /><br /><br /><div><br /></div><div>ช่วงปี 1780 เริ่มนิยมการดัดหยิกแล้วยีให้โป่งเหมือนเม่น โดยจะยีให้ผมบานออกรอบหน้า แล้วทิ้งหางยาวไว้ถักเปียด้านหลัง ทรงผมแบบนี้หนักมากเลยล่ะ (ที่จริงไม่ต้องบอกก็รู้เนอะ) แล้วก็เทอะทะมากๆ จนยายดาคิดว่านี่อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ขนาดสุ่มลดลงจากสมัยบาโรกด้วยรึเปล่านะ แบบว่าต้องคอยระวังหัว ไม่มีเวลาไปดูกระโปรงไง :-P</div><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5427637867930240018" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 240px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiLHJWujhJEYxFDrx12nAoP8QsnVJLcf0liilENXfZ2XCOgK10PD2qy3KYpaWhFIboQPbzUBuP1xcheRdKDPYMBddrOFmvqm84Eyrwxga0a5_E1TvWP6lhsbs-pH6MwDfucWr5G8sylRVhv/s320/%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%949.bmp" border="0" /><br /><br /><br /><div> การ์ตูนล้อเลียนของแมกกาซีนในสมัยนั้นเกี่ยวกับวิธีการทำผมของสาวๆ (^^;)<br />ส่วนเสื้อผ้าจะเริ่มมีการแบ่งเป็นกาว์นกับชุดเสื้อผ้า 2 ชิ้น แบบที่นิยมกันมีอยู่ 3 แบบคือ โรบ อะลา ฟรองเซส โรบ อะลองเกลส และโรบ อะลา โปโลเนส</div><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5427638131446938978" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 216px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgwJh7Nx4G8nCAbaGHvpDhyzLkAC7UE7Hc06AjAakZRfJuDGJGyyz2_kkbOAny02cOZQe5WmEocfpOE7qf3-8EZzRKza6fpwdqvcWgI4WWK3Vx2uooRtvHGaxdbbYkDi70QXPNXCNSBbc1p/s320/%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%9410.bmp" border="0" /><br /><br /><br /><br /><div><br />โรบ อะลา ฟรองเซส(Robe a' la francaise)เป็นแบบที่นิยมในช่วง 1730 - 1780 เป็นกาว์นที่ตัดเย็บแบบมีจีบโป่งด้านหลังและรัดรูปด้านหน้า ชายด้านหลังที่ปล่อยยาวนี้เรียกว่า "วาโต แบค" (Watteau back)ชุดแบบนี้สาวฝรั่งเศสนิยมกันมาก แต่มาเลิกฮิตไปในช่วงหลังเมื่อมีหมอนหนุนสะโพกเข้ามา<br /><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5427638650493991618" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 193px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg0WrJhwoQrQhErrVy3wbeZXyP7syFZPet0KTgWW2GYotorvaGq9enwHQkLplVWLE-_be2oTgkJi1J5n5u7ptJPUUZZI7DeKrq4XS-vGxoGwMrSp-up1pZqSj7yg3SLleb0F52faTpYAQ5J/s320/%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%9411.bmp" border="0" /><br /><br /><br /><p>โรบ อะลองเกลส(Robe a' l'anglaise)เป็นแบบที่รัดรูปทั้งด้านหน้าและด้านหลัง แบบนี้นิยมในอังกฤษและอเมริกา และได้รับความนิยมไปจนจบสมัย</p></div></div></div></div></div></div></div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5427638930761679058" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 185px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgdSfLV_mHaECBKgFWHdKaO0Vn6TStl0qJ_8jMzgqlNlMIKLmgQvXf1DHgTcyI6iAw96hdfTDANiBzJ8oH07NOOK0FiBPE3n_wCtBFYuEtNpIRbWZNOrxouCJlBYGEk0Ql7asdl5dO6gzRa/s320/%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%9412.bmp" border="0" /><br /><br /><p> </p><p>โรบ อะลา โปโลเนส (Robe a' la polonaise)เป็นชุดชั้นนอกและเพตติโคทที่มีห่วงกลมรองรับเย็บติดกับกระโปรงในลักษณะที่ชั้นนอกพองฟูเหมือนกับห่อกระโปรงตัวในอยู่ ความสูงของตัวโปโลเนสจะสูงประมาณข้อเท้า ไม่กองเรี่ยพื้น<br />นอกจากนี้ ยังมีแฟชั่นแบบใหม่ๆ เกิดขึ้นอีก เช่นการประยุกต์ชุดขี่ม้าของสุภาพบุรุษมาให้สุภาพสตรีสวมใส่ แต่ประดับประดาอย่างสวยงาม ชุดแบบนี้เรียกว่า "เรดิงโกท" (Redingote) ลักษณะก็จะคล้ายกับโค้ทยาวตัวใหญ่ (greatcoat) ที่มีปกแบะออก นอกจากนี้ยังนิยมสวมแจ็กเกตกับกระโปรง แจ็กเกตจะมีลักษณะรัดรูปทรงบอดิซแล้วบานออกใต้เอว เรียกว่า "กาซาแก็ง" (Casaquin)</p><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5427639163350694210" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhTEwPIYZ8OewFKv0lSxyi0ynuWwEMHd1HAtVXLrabHHQKGuRW8lWJEv4JHhnJRtQyhmDKYnMGBAqB_suJNPSQ09OBRtE84Qm_LhLWEOumYiaIANniBjjtPKNrNhOo6P1bF-SF9irAT33jw/s320/%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%9413.bmp" border="0" /><br /><p> </p><p> กาซาแก็งกับกระโปรงผ้าลินอน (โพลีเอสเตอร์ผสมลินิน) ปักลวดลาย ที่คอสอดผ้าพันคอเนื้อบางที่เรียกว่า "ฟิชู" (Fichu)</p><p> </p><p> <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5427639421264651730" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 236px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi2nB3njlzlC0m9KxtwuWK_jZHd6aH-AaYTgMrBwhxrCdPES9LbrJU_Gc0tPDT2IldEWlMdpBB916o-78lByD2why4QwVeiWjeQDFT1DR59SV2EmlDl5bDg31mq1VPtHYbMrsRfe4pypWEL/s320/%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%9414.bmp" border="0" /> เรดิงโกท - กึ่งๆ จะเป็นชุดขี่ม้าของคุณหนูในยุคนั้น แต่สามารถใส่อยู่บ้านได้ด้วย<br /></p><p></p>ZAsahttp://www.blogger.com/profile/17162817877063417407noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1628616998738174643.post-28296758750943279552010-01-16T23:04:00.000-08:002010-01-17T00:26:35.922-08:00เพลงประจำชาติฝรั่งเศส //<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiR7pi2JUHK1tfXCvCcmY2FZqOBFFDCSXp0z4d0T44kBn_FVzqM6Krq08jyB9kKU1kq7Wqx8RYT6xyNN-f8ARJrPreF9PGdPdWwOVKAhmdgOdMpng5df97TJcnAQeVu7QIiRConbKb3asdP/s1600-h/มาà¹à¸¥à¹‰à¸§.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5427613605712594578" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 254px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiR7pi2JUHK1tfXCvCcmY2FZqOBFFDCSXp0z4d0T44kBn_FVzqM6Krq08jyB9kKU1kq7Wqx8RYT6xyNN-f8ARJrPreF9PGdPdWwOVKAhmdgOdMpng5df97TJcnAQeVu7QIiRConbKb3asdP/s320/%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7.jpg" border="0" /></a>ลามาร์แซแยส แปลตามตัวว่า เพลงแห่งเมืองมาร์เซย์ เป็นชื่อของเพลงสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ประพันธ์ คำร้องและทำนองโดย โคลด โจเซฟ รูเซต์ เดอ ลิสล์ เมื่อวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2335 ที่เมืองสตราสบูร์ก ในแคว้นอัลซาซ เดิมเพลงนี้มีชื่อว่า "Chant de guerre de L Armee du Ghin" (แปลว่า เพลงมาร์ชกองทัพลุ่มน้ำไรน์) เดอลิสล์ได้อุทิศเพลงนี้ให้แก่นายทหารชาวแคว้นบาราเรีย (อยู่ในประเทศเยอรมันนี้ปัจจุบัน) ซึ่งเกิดในประเทฝรั่งเศสผู้หนึ่ง คือ จอมพลนิโคลาสเนอร์ ลัคเนอร์ (Nicolas Luckner) เมื่อกองทหารจากเมืองมาร์เซย์ได้ขับร้องเพลงนี้ขณะเดินแถวหน้าทหารเข้ามายังกรุงปารีส ทำให้เพลงนี้เป็นที่รุจักโดยทั่วไปและกลายเป็นเพลงปลุกใจในการร่วมปฎิวัติฝรั่งเศสทั่งยังเป็นที่มาของชื่อเพลงลามาร์แซแยสดังปรากฏอยู่ในปัจจุบันด้วยสมัชชาแห่งชาติฝรั่งเศสได้ออกประกาศรับรองให้เพลงลามาร์แซแยสเป็นเพลงชาติฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2338 ต่อมาเพลงนี้ได้ถูกงดใช้ในช่วงรัชสมัยของจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 และพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 และมีการนำเพลงอื่นมาใช้เป็นเพลงชาติฝรั่งเศสแทนในระยะเวลาดังกล่าวแทน หลังการปฎิวัติในปี พ.ศ. 2373 เพลงนี้ก็ได้กลับมาใช้เป็นเพลงชาติในระยะสั้นๆ แต่ก็งดใช้อีกครั้งในสมัยของจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 ตราบจนกระทั่งฝรั่งเศสเข้าสู่สมัยสาธารณรัฐที่ 3 เพลงนี้จึงได้รับการรับรองให้เป็นเพลงชาติอย่างถาวรเมื่อ พ.ศ. 2422<br /><br /><br /><br /><span style="font-size:0;"><span style="font-family:courier new;font-size:130%;color:#000000;"></span></span>ZAsahttp://www.blogger.com/profile/17162817877063417407noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1628616998738174643.post-47368936516744208522010-01-16T20:56:00.000-08:002010-01-16T21:50:31.995-08:00เปิดตำนานการเดินทางของหลุยส์ วิตตอง<div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5427575599919141138" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 201px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEicbOKpbp4rEeWG7_xnWNVqRdkUADlUI4pT3ha9-vO512KRTLoGIYQefqDLMgD9fGiwGJaJl3nQMIODMJLZiy7pBMO0KhNFAX2UQyVzvvGTrUNXgyMlzUZFSeMCiJpsic60aKKt2OXue6hW/s320/LV1.jpg" border="0" /><br /><div><div><div><div><div><span style="color:#ff9966;">ตำนานหลุยส์ วิตตอง สัญลักษณ์แห่งความโก้หรูเริ่มต้นเมื่อปี 1837 โดยชื่อนี้เกิดขึ้นจากกระเป๋าบรรจุสัมภาระที่วางขายในมหานครปารีส เบื้องหลังความสำเร็จของหลุยส์ วิตตองเกิดจากความบังเอิญจากความผิดพลาดของการพิมพ์ตัวอักษรบนแผ่นผ้าอาบใยสังเคราะห์จากตัว WL ซึ่งหมายถึง “ตู้นอน” ของรถไฟชั้นหนึ่ง กลายเป็น อักษร VL ไขว้กันอยู่บนลวดลายดอกไม้สี่กลีบในวงกลมแผ่นผ้าที่ผลิตผิดเหล่านี้จึงถูกลูกค้าปฏิเสธ และเพื่อมิให้เป็นการสูญเปล่า จึงได้นำไปใช้หุ้มหีบใส่สัมภาระสำหรับการเดินทาง ซึ่งแต่เดิมใช้หนังวัวหุ้มบนโครงหีบไม้ มีหมุดเหล็กตอกเป็นระยะเพื่อความทนทาน อันเป็นหีบที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในขณะนั้น และใช้ชื่อสินค้าตามชื่อสกุลของผู้ผลิตเป็นเครื่องหมายการค้า และนั่นคือที่มาของชื่อ Louis Vuitton<br /></span><br /><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5427576009850441730" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhxzAEpc2TmqwvgvIdbx_za1BMmdJWF-j8z4tGpUqXJuBhycrf7BIFkQ19rwdBXKNIB5Sk5_Jw7xc4wMSIwERmUGnWrc_NU8gEmPJtuvGIH8WRyYaKLcehdrYZJTdIARGpwyOx4E5U0pnzg/s320/LV2.jpg" border="0" /><br /><br /><br /><span style="color:#6600cc;">หีบของ หลุยส์ วิตตอง เริ่มเป็นที่รู้จักสำหรับนักเดินทางที่เริ่มเดินทางด้วยเรือเดินสมุทรในเวลาต่อมา ด้วยคุณภาพที่ต่างจากหีบหนังแท้คือมีน้ำหนักเบากว่า สามารถใส่สัมภาระได้มากกว่ารวมทั้งสะดวกต่อการลำเลียง การเดินทางของหีบใบใหม่นี้เริ่มข้ามทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ผ่านช่องแคบอังกฤษ มุ่งสู่มหาสมุทรแอตแลนติกจนถึงนิวยอร์ก และกลายเป็นของก็หรูที่เหล่าเชื้อพระวงศ์ไปจนถึงดาราฮอลลีวูดต่างนิยมชมชอบ</span></div><br /><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5427577243912198962" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 261px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEheYE-l2pB7Hvj9Gui2NymG4mP2nBUpAHgr2R9xhLE2TJk0lnEOqqQqGSC4Becoa2c9lhrteaLnzb0m-vkf7Ala7yRzQcnNi-MUS87_58hEiXswwez-btszhmOdswinLv9yAi24qlr3CAsR/s320/%E0%B8%AB%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B8%B9%E0%B9%891.jpg" border="0" /> <span style="color:#99ffff;"> หีบตู้เสื้อผ้า (Wardrobe) </span></div><br /><div><span style="color:#99ffff;">ผลิตจากผ้าใบลายโมโนแกรม หีบสำหรับใส่เสื้อผ้าใบนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาในปี 1875 และประสบความสำเร็จอย่างมากทางด้านยอดขาย ด้วยภายในออกแบบมาให้สามารถใส่ได้ทั้งสูทของผู้ชายและเครื่องประดับของผู้หญิง พื้นที่ด้านในของตู้เสื้อประกอบไปด้วยลิ้นชักมากมายสำหรับใส่สิ่งของหรือเครื่องใช้ส่วนตัว นอกจากนี้ยังมีลิ้นชักสำหรับใส่รองเท้าอยู่ข้างใต้หีบเสื้อผ้ารุ่นนี้เหมาะสำหรับหนุ่มสำอางที่ชอบเดินทางไกลเป็นประจำ ส่วนหีบในภาพเป็นสมบัติของเจ้าชายโปลิยัก ได้รับการทำสัญลักษณ์ส่วนตัวด้วยแถบสีแดงขาว ส่วนใครอยากจะมีหีบใบเก๋นี้ไว้ครอบครอบสามารถสั่งทำได้พรอมบริการทำสัญลักษณ์ส่วนตัวหรือชื่อย่อให้อีกด้วย</span></div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5427576899409169106" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 232px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgrZa2TScLutFSkv3DQBhIubEDG6JepbHit_FddYED9Hcg-9ddsHkxyVnoT0iDi4L88ZMYM2R9JqueP2AI0ES1r4VlKfxskQ3suLx-L7o2ARrJXonPE2pcsATWq1Pm7ftqVOANBuUSVFp38/s320/%E0%B8%AB%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A32.jpg" border="0" /><br /><br /><br /><p> <span style="color:#ffff00;"> หีบใส่อาหารไปปิกนิก( Picnic Trunk)</span></p><p><span style="color:#ffff00;">ย้อนไปในยุคเริ่มต้นศตวรรษที่ 20 รถยนต์เริ่มเป็นพาหนะที่สร้างความกระตือรือร้นให้มนุษย์อยากโลดแล่นออกจากเมืองใหญ่ไปหาอิสระในวันหยุดพักผ่อนกับการไปปิกนิก ซึ่งถือเป็นการสร้างสรรค์ผลงานเพื่อรองรับกิจกรรมยามว่างใหม่ ๆ ในยุคนั้นเพื่อให้ลูกค้าได้ใช้ประโยชน์ของการไปปิกนิกอย่างคุ้มค่า จึงได้มีการผลิตหีบใส่อาหารจากผ้าใบลายโมโนแกรมหรือหนังแทนที่จะใช้ตะกร้าสาน หีบของหลุยส์ วิตตองใบนี้สามารถป้องกันทั้งฝุ่นและแมลง หากยังคงความหรูหราไร้ที่ติในการเก็บถ้วยชามเครื่องกระเบื้อง เครื่องเงินและเครื่องแก้วคริสตัลอีกด้วย</span></p><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5427577421275328418" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 242px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg9aIvtcz8TH7aUNVm-aejkFseWrNMYzYo1zL_hkpwnanXgHTKnEPw_KkCx7j1nFrKjUpm1AtZA0JnCEFxrfpqH5U8YDggMhSwah2XHiuKsimhFeKA3W8G4vXOQrxdwkIF6kiMEBYYM64cL/s320/%E0%B8%AB%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%95%E0%B9%8A%E0%B8%B03.jpg" border="0" /> <span style="color:#333333;"> หีบโต๊ะทำงาน ( Stokowski Desk Trunk) </span></div><br /><br /><div><span style="color:#333333;">หีบใบแรกที่สามารถกางออกมาเป็นโต๊ะทำงานนั้นถูกออกแบบมาใช้ในช่วงต้นปี 1930 สำหรับวาทยกรชื่อดัง Leopold Stowkovski และเป็นที่มาของชื่อหีบใบนี้ด้วย หีบใบนี้ทำหน้าที่โต๊ะทำงานสำหรับนักเดินทางอย่างแท้จริงภายในประกอบไปด้วยที่วางเครื่องพิมพ์ดีด ช่องใส่หนังสือ ลิ้นชักเล็ก 2 ช่องสำหรับใส่เอกสาร และลิ้นชักใหญ่สำหรับใส่แฟ้มต่าง ๆ สามารถกางออกทางด้านข้าง ปัจจุบันหีบโต๊ะทำงานสำหรับนักเดินทางนี้ยังคงรับผลิตตามคำสั่งซื้อพิเศษของลูกค้า<br /></span><br /></div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5427580772722767666" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 241px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgI4z3Xp1r8sZBeRagM33FCGvIzj_K_VBsylt3Kf-0_trahyphenhyphenTSAZ3v65ZOeBa5D26yd06zBsc8DnO6eNyIDx_FfhrHJdoIYIGyNLxjiH_mhb5_w-LnITvgXWeMLBcQPGG7JOIIRn6gbVxy4/s320/%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%99.jpg" border="0" /><br /><br /><p> <span style="color:#cc33cc;"> หีบเตียงนอน ( Bed Trunk) </span></p><br /><p><span style="color:#cc33cc;">ในช่วงปลายปี 1860 หลุยส์ วิตตองได้พัฒนาความฝันในการสร้างเตียงที่สามารถพกหายามเดินทางได้ หนึ่งในเตียงนั้นได้ทำขึ้นสำหรับ ปิแอร์ ซาวอร์แนน เดอ บราซซ่า ซึ่งป็นนักสำรวจที่ต้องเดินทางไปยังเมืองคองโกในแอฟริกาอยู่เป็นประจำ และเป็นที่ที่เขาได้ค้นพบเมืองบราซซาวิลล์ ในปี 1880ในแคตตาล็อคของหลุยส์ วิตตอง ช่วงปี 1914 ได้บันทึกไว้ว่า “ สิ่งที่ทำให้เตียงนี้สมบูรณ์แบบก็คือ ขนม้าที่ใช้ในการทำที่นอนขนาดของเตียงที่เล็กทำให้ขนย้ายสะดวก ส่วนผู้ที่มีส่วนสูงเกินขนาดของเตียงตามโรงแรมก็สามารถสั่งทำเตียงนอนที่มีขนาดพิเศษเพื่อใช้ในการเดินทางได้ ”</span></p><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5427581065629985586" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 231px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjaKqIKVXJvxys7BbFBisuOPZymIUbYDiqQj-5VTcHMSBB18-s9HHUssBRQYoIdMSJREZFoq7kw2giQA9IR1oMr031Azz-VbyJ-SMolSH2OyoGlQPpyJO6nVgb47yt4Hrc4Ffl35xC0EIYz/s320/%E0%B8%AB%E0%B8%B5%E0%B8%9A%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%AA5.jpg" border="0" /> <span style="color:#ff99ff;"> หีบสั่งทำพิเศษ ( Special Trunk) </span></div><div><span style="color:#ff99ff;">หีบใบนี้ถือเป็นต้นแบบของหีบที่ทำจากโลหะ( ทองแดง สังกะสี และอลูมิเนียม) ซึ่งสั่งทำพิเศษจากหลุยส์ วิตตอง สำหรับนักเดินทางสำรวจ ด้วยความแข็งแรงคงทนพิเศษ พร้อมระบบสูญญากาศ และมีส่วนฐานที่หนา รวมไปถึงระบบป้องกันความชื้นและแมลงจากด้านใน หลุยส์ วิตตอง ได้ผลิตหีบโลหะนี้ขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อปิแอร์ ซาวอร์แนน เดอ บราซซ่า สำหรับเดินทางของเขาในแอฟริกา<br /></span><p></p></div></div></div>ZAsahttp://www.blogger.com/profile/17162817877063417407noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1628616998738174643.post-87998901524755281842010-01-16T20:30:00.000-08:002010-01-16T20:56:18.294-08:00ความลับในขวดน้ำหอม ม ++<img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5427565991950625090" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 232px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhqvydkKi4-xPXY-Nn01IY7yYQkRXRwwSbh8zzJm2-D7UpfMDVOYfmyde6RtYfElOghdpjQbTcrSCNuBmLf6QFNMtG3ul7zMoF-qfAOo646vYxyvzauZVhGDKbwLpBYQFrmBYEuNQuoQ2Xi/s320/%E0%B8%99%E0%B8%B35.jpg" border="0" /><br /><div><div> </div><div>ปฏิเสธไม่ได้ว่า “ น้ำหอม” คือเครื่องสำอางที่ยังคงเติบโตต่อไปอย่างไม่มีวันหยุด แม้เวลาจะผ่านไปนานเพียงใดก็ตาม ด้วยน้ำหอมคือเสน่ห์ที่สามารถใช้ปรุงแต่งให้ผู้ใช้กลายเป็นบุคคลที่น่าสนใจได้ในพริบตา และเสน่ห์ที่ลึกล้ำของน้ำหอมแต่ละกลิ่น ล้วนมีที่มาที่น่าตื่นเต้นน่าสนใจไม่แพ้ประวัติของอัญมณีมีค่าแม้แต่น้อยใครจะคิดว่าอุตสาหกรรมน้ำหอมจะทำรายได้ได้ถึงปีละกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญอเมริกันเมื่อก้าวเข้าสู่สหัสวรรษใหม่ ว่ากันว่า ณ วันนี้ผู้หญิงทั่วโลกใช้น้ำหอมเฉลี่ยถึงคนละ 6 กลิ่น นอกเหนือไปจากน้ำหอมกลิ่น “พิเศษ” ที่แต่ละคนจะไม่ยอมบอกใครเป็นอันขาดถึงน้ำหอมกลิ่นลับสุดยอดของตัวเอง</div><br /><br /><br /><br /><br /><div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5427566251076459746" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 250px; CURSOR: hand; HEIGHT: 185px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhjxjVfzt9kASZs3R40VtFMajiidtY64QhZIJ2sfPXc3asN1I3eEsjeoGkO8WbN3-VO2Itegh9oZri6oRtjHeO-QQS-vDiDp9tUG41l6sudkWfpl5nhZ_eQEnrcenHDoZsxNJuff1vjTUf1/s320/%E0%B8%99%E0%B8%B37.jpg" border="0" /></div><br /><div> Grasse เมืองแห่งน้ำหอมของฝรั่งเศส</div><br /><div>และใช่เพียงแต่ผู้หญิงเท่านั้นปัจจุบันผู้ชายอย่างน้อยกว่าร้อยล้านคนทั่วโลกต่างก็เป็นผู้บริโภคน้ำหอมกันโดยถ้วนหน้า เรียกว่าใช้กันไม่แพ้ผู้หญิงเลยทีเดียว เพราะนอกจากพ่อเจ้าประคุณทั้งหลายจะใช้น้ำหอมกลิ่นอ่อนๆหลังอาบน้ำประเภท eau de toilet แล้ว น้ำหอมหลังโกนหนวดก็ยังเป็นสินค้าที่ขายดีติดอันดับด้วยเช่นเดียวกันตั้งแต่ยุคโบราณมนุษย์เริ่มรู้จักนำเครื่องหอมมาใช้เพื่อระงับกลิ่นกาย ภายหลังการชำระล้างร่างกายก่อนที่จะทำการบวงสรวงเทพเจ้าพื่อให้ร่างกายมีกลิ่นที่สดชื่น และจากการใช้กลิ่นหอมเหล่านี้ผลพลอยได้ก็คือผู้ที่อยู่รอบข้างเมื่อได้กลิ่นก็เกิดความนิยมชมชื่นใช่เพียงแต่เพื่อเทพเจ้าเท่านั้น ผู้ที่ใกล้ชิดที่สุดก็คือผู้เป็นชายาหรือสวามีของผู้ใช้ซึ่งล้วนเป็นบุคคลชั้นปกครองนั่นเองจากนั้นได้มีการจำแนกกลิ่นของหอมจากแหล่งที่มาต่าง ๆ ทั้งดอกไม้ พืช ดินบางชนิดไปจนถึงกลิ่นที่มาจากสัตว์ นำมาสกัดและใช้ผสมกับน้ำมันเพื่อสะดวกในการแต่งแต้มไปบนส่วนต่างๆของร่างกาย ซึ่งค้นพบในเวลาต่อมาว่ากลิ่นของน้ำมันหอมจะเปลี่ยนไปตามกลิ่นเหงื่อและอุณหภูมิของผู้ใช้</div><div> </div><div> </div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5427566545952464706" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 216px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgCAkvtXQQx8oYblGIHCpx7VVGmH-Qj5-o13O_djIq0_kpoUs5qEKliqlthyhqc5a5Sje9CQTNYMI5S0Pk2elZd26uQ8ycRb0fwn9VOuWvykIzrMcot2PqFc-UhPYLodtiw-etE5DPiOJJ1/s320/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A11.jpg" border="0" /> ขวดน้ำหอมสไตล์ฝรั่งเศส<br /><br /><p>การใช้เครื่องหอมนอกจากจะเป็นการเพิ่มเสน่ห์ให้กับผู้ใช้แล้วยังเป็นการช่วยผ่อนคลายความเครียดและความว้าวุ่นทางอารมณ์ได้ด้วย จึงมีการนำเครื่องหอมมาใช้ในการบำบัดภาวะทางจิตเป็นบางกรณี อันเป็นต้นกำเนิดของการใช้สุวคนธ์บำบัดการค้าเครื่องหอมเริ่มมีความสำคัญทีละน้อย จากเดิมที่นิยมกันตามท้องถิ่นนั้น ๆ จนเมื่อการคมนาคมเจริญขึ้นทำให้เกิดความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากดินแดนในทวีปต่างๆ การเดินทางของเครื่องหอมได้เพิ่มมูลค่าอย่างไม่มีขีดจำกัด เครื่องหอมเหล่านี้จึงกลายเป็นสินค้าประเภทฟุ่มเฟือยมาแต่โบราณกาล แต่ปริมาณการผลิตยังไม่มากเท่ากับความต้องการของผู้ใช้จึงทำให้การตั้งราคาเป็นไปตามความพอใจของผู้ขายมากกว่าผู้ซื้อ ดังนั้นจึงเริ่มมีการนำกลิ่นหอมต่างๆมาผสมขึ้นด้วยกลเม็ดและความชำนาญอันเกิดจากประสบการณ์ ตลาดเครื่องหอมจึงเป็นตลาดของชนชั้นสูงเท่านั้นการตั้งห้องทดลองเพื่อค้นคว้า สกัดกลิ่น และผสมเครื่องหอมต่างๆเริ่มแพร่หลายในยุคต่อมาจนกระทั่งถึงยุคกลาง จากนั้นในยุคของศตวรรษที่ 16 เริ่มมีการนำน้ำหอมมาผสมกับสารอื่นๆเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ที่ต่างกันออกไป เช่นใช้กับเครื่องเรือน ถุงมือ พัด จนถึงการนำไปผสมกับผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ใช้ในห้องน้ำเช่นสบู่หอม น้ำยาบ้วนปาก</p><p> </p><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5427566776085139618" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 273px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg_3Sn2wy_AdnWvVJ373UqOjDMKF56x8RcGcOwWDJi__i-6QK4ZqJ2HpVMoLIXBvjTFC2AvSg6AXJD3uaFoWDvOtf-uCh7go3ahtqMGj4Fwo8yzXqsntYWLeMZtFsOt6wzCcTNcRzkwcXUz/s320/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A12.jpg" border="0" /> ขวดน้ำหอมทำจากเซรามิก</div><div>ลวดลายงดงามหลังยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมยุโรปทั้งทวีปเข้าสู่ยุคทองของเศรษฐกิจที่เจริญก้าวกระโดดอย่างรวดเร็ว ความมั่งคั่งได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งทวีป จึงมีการผลิตน้ำหอมออกสู่ท้องตลาดในผลิตภัณฑ์บรรจุที่งดงาม มีทั้งการออกแบบขวดและภาชนะบรรจุอย่างประณีต มีการนำขวดแก้วเจียรนัยจากหินผลึกทั้งขาวใสและสีต่างๆ ประดับด้วยลวดลายที่เขียนจากทองคำ จนกลายเป็นสินค้าที่หรูหราที่เหล่าสตรีผู้สูงศักดิ์และมั่งคั่งจะต้องเสาะหามาประดับห้องน้ำและโต๊ะกระจกเครื่องแป้งนักเคมีชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ปรับปรุงน้ำหอมจากน้ำหอมแบบโบราณให้เป็นน้ำหอมที่ทันสมัยด้วยความรู้และความสามารถ ประกอบกับความพิถีพิถันละเอียดลออ ทำให้น้ำหอมของฝรั่งเศสเริ่มเป็นที่กล่าวขวัญและต้องการในศตวรรษที่ 20 จากการตั้งชื่อกลิ่นของน้ำหอมในเชิงโรแมนติค ทั้งยังมีการออกแบบขวดบรรจุและฉลากปิดที่งดงาม มีการออกแบบที่ละเมียดละไมผิดจากผลิตภัณฑ์อื่น สินค้าเหล่านี้กลายเป็นของที่ระลึกและของฝากที่สตรีทั่วโลกร่ำร้องที่จะเป็นเจ้าของ </div><br /><div> </div><div><br /></div><div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5427567381224570146" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 225px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi41Tj12nlEcAo2rO0vaO4cWKnOMDNZlA-DG4JIlhm1zrEhsMMZWiCk6lk44-BpjJERuPSh3IWoBzTRg-5a3n0po415PElU-0RsZf4QWZdURSn8hX65ir65C1nEEVU7Ezb7nn0jNK4ND3mO/s320/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A13.jpg" border="0" /> อีกรูปแบบหนึ่งขวดน้ำหอมเมือง Grasse ในแคว้น Provence </div><div>ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งการผลิตน้ำหอมของฝรั่งเศส กลิ่นหอมจากดอกไม้และพืชนานาชนิดถูกนักผสมน้ำหอมหรือ Le Nez ทำการผลิตจากการผสมกลิ่นหอมต่างๆ และมีการตั้งชื่อด้วยคำจากภาษาวรรณกรรมหรือบุคคลเป็นส่วนใหญ่ จนเริ่มมีร้านขายน้ำหอมเปิดจำหน่ายเป็นร้านเฉพาจากเดิมที่จำหน่ายร่วมกับเวชภัณฑ์ โดยมีการตกแต่งร้านขายน้ำหอมอย่างดงามด้วยกระจกเงาและสีสันที่อ่อนโยน จนทุกคนเป็นต้องเหลียวมองเมื่อเดินผ่านเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ทหารต่างชาติทุกชาติทุกหน่วยต่างพากันซื้อน้ำหอมของฝรั่งเศสติดไม้ติดมือกลับบ้านเพื่อเป็นของฝากและของที่ระลึกให้กับภรรยา คู่รัก มารดา และพี่สาวน้องสาว น้ำหมอจึงกลายเป็นสิ่งที่สร้างความพอใจให้ผู้รับทุกคนเป็นอย่างยิ่ง ส่งผลให้บริโภคน้ำหอมของชาวอเมริกันพุ่งขึ้นสูงสุดในยุคร็อค แอนด์ โรล นี้เอง และนับแต่นั้นเป็นต้นมาอุตสาหกรรมน้ำหอมในอเมริกาก็เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แม้จะเป็นกลิ่นที่สังเคราะห์ขึ้นด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ แต่ราคาก็ต่างจากน้ำหอมของฝรั่งเศสอย่างมาก จนทำให้น้ำหอมของอเมริกันเริ่มเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย สามารถแบ่งตลาดน้ำหอมของฝรั่งเศสได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ และยังครองใจวัยรุ่นได้เกือบทั่วโลกจากการแพร่ในลักษณะของสื่อแฝงทั้งภาพในสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ และภาพยนตร์<br /><br /></div><div><br /></div><p><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5427567038239519954" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 240px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjbisOWXzWlRzMDFjiqN1fULWPeMx-bq-mQLh-vxnh1y1k0ltMpkhwIVhyphenhyphenx7BFKxH81Dy6faCh4V2jjZF3PYCl6fq_r3LHFLQ0pZvD60KYjdunRTaYB2g1KVG66Gpfi7Izze2h52hokCjfm/s320/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%AD%E0%B8%A14.jpg" border="0" /></p><p> จากน้ำหอมต่อยอดมาถึงผลิตภัณฑสปา</p><p>การเติบโตของอุตสาหกรรมน้ำหอมเริ่มจะอิ่มตัวในปลายศตวรรษที่ 20 แต่แล้วการเปิดตัวของ spa และ therapy house ต่างๆได้กลายเป็นตัวกระตุ้นให้ตลาดเครื่องหอมกลับแตกยอดต่อไปได้อย่างงดงาม เมื่อผลิตภัณฑ์เครื่องหอมถูกผลิตออกมาในรูปแบบแปลกๆใหม่ ทำให้ยอดของการบริโภคเครื่องหอมเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ และผลิตภัณฑ์ต่างๆล้วนถูกบรรจุในภาชนะบรรจุที่ถูกออกแบบอย่างพิถีพิถัน ผสมผสานกับความรู้ในเชิงจิตวิทยาที่เย้ายวนความต้องการของผู้ชื้อ จนตลาดเครื่องหอมทั่วทั้งโลกถูกกระตุ้นด้วยแรงซื้ออย่างมหาศาลอีกตรั้ง สวนทางกับตลาดสิ่งฟุ่มเฟือยต่างๆอย่างเห็นได้ชัดทุกวันนี้ประเทศผู้ผลิตต่างระดมนักวิชาการและนักการตลาด พัฒนาสรรพความรู้และความสามารถอย่างเต็มที่ เพื่อชิงส่วนแบ่งของตลาดสินค้าชนิดนี้ให้ได้มากที่สุด เพราะสินค้าเครื่องหอมยังคงมีอนาคตที่สุดสดใสนั่นเอง</p>ZAsahttp://www.blogger.com/profile/17162817877063417407noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1628616998738174643.post-72492511740069974592010-01-15T02:23:00.000-08:002010-01-15T07:12:32.916-08:00กำเนิดภาษาฝรั่งเศส<span style="color:#cc66cc;"></span><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjTIHkWddPOQLaPGdutFyBSQEQKxA5ehqlmGBG9kwHyCG8XBhNIbekMAr2QetozO6vVtSrrP7xTgyssodyKD3hX3MFFF_yNRwlf4uGQClQ7_9PZE0xc-L1IhAV4fyDeVy4dcBB8fR09i0qu/s1600-h/000005.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5426982301140880578" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 250px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjTIHkWddPOQLaPGdutFyBSQEQKxA5ehqlmGBG9kwHyCG8XBhNIbekMAr2QetozO6vVtSrrP7xTgyssodyKD3hX3MFFF_yNRwlf4uGQClQ7_9PZE0xc-L1IhAV4fyDeVy4dcBB8fR09i0qu/s320/000005.jpg" border="0" /></a><br /><br /><div><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5426978086635665298" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjrgt6FASrFl-foZizZK01JEPAvgq3hCrbistPh59aGtKXuFIEYaTjitgn9EooHzcZCHRdnWiTorI-BXJoajRLBM-kag2i9jaFT95x7NkGctS3KAt8hXhw5TXW1L9Qb-lFUqihvsyww-Dmw/s320/00001.jpg" border="0" /><br /><br /><div><span style="font-size:0;"><span style="color:#000000;"><strong>ภ</strong><strong>าษาฝรั่งเศส<span style="font-family:courier new;"> </span></strong></span><span style="font-family:courier new;color:#ff9966;">เป็นหนึ่งในภาษากลุ่มโรมานซ์ที่สำคัญที่สุด เป็นรองเพียงภาษาสเปนและโปรตุเกส ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาที่มีคนนิยมเป็นอันดับที่ 11 ของโลก โดยเมื่อปี พ.ศ. 2542 มีคนพูดภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาภาษาแม่ (ฟรองโกโฟน) ประมาณ 77 ล้านคน และเมื่อรวมคนที่พูดเป็นภาษาที่สองแล้วจะมีประมาณ 128 ล้านคน<br />ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาราชการ และภาษาที่ใช้ปกครองในชุมชนต่าง ๆ โดยเฉพาะประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส รวมถึงองค์กรต่าง ๆ ด้วย ในสมัยก่อนภาษาฝรั่งเศสถือเป็นภาษาสากลที่แพร่หลายที่สุด โดยมีสถานะเฉกเช่นภาษาอังกฤษในปัจจุบัน หนังสือเดินทางของไทยก็เคยใช้ภาษาฝรั่งเศสควบคู่กับภาษาไทย</span></span></div><div><span style="color:#ff9966;"></span><br /></div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5426978325663470690" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 239px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhc4estREBihPWQ-yjwWwL2MAN2qMPxRVcpW8Q2n39-ut1Et4LRBiRynFJK0KWpcG5J91jEIGJl4pymfo8evQ7sHJ7wQwzE1rfoyFAxEXCbLB0biH4Ot1JmqFi9sHtAOABGBBbr5-RuUAjm/s320/Paris2.jpg" border="0" /><br /><div><div><span style="font-size:0;"><span style="color:#6666cc;"><span style="font-size:130%;"><span style="color:#ffcccc;">ยุคเริ่มแรก</span><br /></span>ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาในกลุ่มภาษาโรมานซ์ กล่าวคือ เป็นภาษาที่มีต้น</span><span style="color:#6666cc;"><span style="font-size:0;">กำเนิดจากภาษาละตินที่พูดกันในจักรวรรดิโรมันโบราณ ก่อนหน้าที่ดินแดนที่เป็นที่ตั่งประเทศฝรั่งเศสในปัจจุบันจะอยู่ใต้การปกครองของโรมัน ดินแดนดังกล่าวเคยอยู่ใต้การปกครองของพวกกอล ซึ่งเป็นหนึ่งในชนชาติเซลต์ ในสมัยนั้นดินแดนประเทศฝรั่งเศสมีคนที่พูดภาษาถิ่นต่าง ๆ กันหลายภาษา แม้ว่าชาวฝรั่งเศสจะชอบสืบที่มาของภาษาของตนไปถึงพวกโกล (les Gaulois) แต่มีคำในภาษาฝรั่งเศสเพียง 2,000 คำเท่านั้นที่มีที่มามาจากภาษาของพวกโกล ซึ่งโดยมากจะเป็นคำที่ใช้เป็นชื่อสถานที่ หรือเป็นคำที่มีความหมายเกี่ยวกับธรรมชาติ<br />หลังจากที่ชาวโรมันได้เข้ามายึดดินแดนของพวกโกล คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นก็ได้เปลี่ยนมาพูดภาษาละติน ซึ่งภาษาละตินที่พูดกันในบริเวณนี้ ไม่ใช่ภาษาละตินชั้นสูงแบบที่พูดกันในหมู่ชนชั้นสูงของกรุงโรม แต่เป็นภาษาละตินของชาวบ้าน (vulgar latin) ที่พูดกันในหมู่พลทหาร นอกจากนี้ ภาษาละตินที่พูดกันอยู่ในฝรั่งเศสนั้น ก็ได้รับอิทธิพลจากภาษากอลอยู่พอควร เนื่องจากสิ่งของบางอย่างที่ใช้กันอยู่ในกอล พวกโรมันไม่มีชื่อเรียก จึงต้องข</span>อยืมคำในภาษาโกลมาเรียกสิ่งของเหล่านั้น เช่น les braies ซึ่งแปลว่าเครื่องแต่งกายจำพวกกางเกงของชาวโกล</span></span></div><br /><br /><span style="font-size:130%;color:#ffcccc;">ยุคอาณาจักรแฟรงก์<br /></span>หลังจากคริสต์ศตวรรษที่ 3 เป็นต้นมา<span style="font-size:0;">จักรวรรดิโรมันก็เสื่อมอำนาจ ดินแดนหลายส่วนของจักรวรรดิโรมันตกอยู่ในเงื้อมมือของชนเผ่าป่าเถื่อนหลายพวก ชนเผ่าป่าเถื่อนที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนที่เป็นประเทศฝรั่งเศสปัจจุบัน ได้แก่ ชนเผ่าแฟรงก์ที่อาศัยอยู่ทางเหนือ ชนเผ่าวิซิกอทที่อาศัยอยู่ทางใต้ ชนเผ่าเบอร์กันดีในบริเวณริมแม่น้ำโรน และชนเผ่าเอลแมนที่อาศัยอยู่บริเวณพรมแดนของประเทศฝรั่งเศสและเยอรมนี ชนเผ่าป่าเถื่อนเหล่านี้พูดภาษาในกลุ่มภาษาเยอรมนิก สำเนียงของชนเหล่านี้ได้ส่งผลต่อภาษาละตินที่เคยพูดอยู่เดิมในฝรั่งเศส และคำจากภาษาของชนป่าเถื่อน ได้แก่ คำที่มีความหมายเกี่ยวกับยุทธวิธีในการรบ และชนชั้นทางสังคม ได้ถูกนำมาใช้ในภาษาละตินที่พูดกันอยู่ในฝรั่งเศส โดยภาษาฝรั่งเศสปัจจุบันมีคำที่มีที่มาจากคำในภาษาของชนป่าเถื่อนอยู่ราว ๆ ร้อยละ 15<br /></span></div><br /><div><span style="color:#ffcccc;"><span style="font-size:130%;">ภาษาฝรั่งเศสในยุคกลาง</span></span><span style="color:#ffffcc;"><br /></span>นักภาษาศาสตร์ได้จัดจำแนกภาษาฝรั่งเศสที่พูดกันในยุคกลางออกเป็น 3 จำพวก คือ พวกแรกคือภาษาที่เรียกกันว่า Langue d'Oïl พูดกันอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ พวกที่สองคือ Langue d'Oc ที่พูดกันอยู่ทางใต้ของประเทศ และพวกที่สามคือ Franco-Provençal ซึ่งเป็นการผสมผสานกันของสองภาษาแรก<br />Langue d'Oïl เป็นภาษาที่ใช้คำว่า oïl ในคำพูดว่า "ใช่" (ปัจจุบันใช้คำว่า oui) ในสมัยกลางภาษานี้จะพูดกันในตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งภาษานี้ได้พัฒนามาเป็นภาษาฝรั่งเศสในปัจจุบัน<br />Langue d'Oc เป็นภาษาที่ใช้คำว่า oc ในคำพูดว่า "ใช่" ภาษานี้พูดกันอยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสและทางเหนือของสเปน ซึ่งภาษานี้จะมีลักษณะคล้ายกับภาษาละตินมากกว่า Langue d'Oïl<br /><span style="font-size:130%;"></span></div><br /><div><span style="font-size:130%;"><span style="color:#ffcccc;">ภาษาฝรั่งเศสยุคใหม่</span></span><br />นักวิชาการเรียกภาษาฝรั่งเศสที่พูดในช่วงก่อนหน้า<span style="font-size:0;">ปี พ.ศ. 1843 ซึ่งก็คือภาษา Langue d'Oïl ว่าเป็นภาษาฝรั่งเศสโบราณ เอกสารฉบับแรกที่เขียนขึ้นเป็นภาษาฝรั่งเศสโบราณ คือ "คำปฏิญาณแห่งสตราสบูร์ก" (Strasbourg) ซึ่งเขียนขึ้นในปี พ.ศ. 1385<br />ในปี พ.ศ. 2082 พระเจ้าฟรองซัวที่ 1 ได้ออกพระราชกฎษฎีกาที่กำหนดให้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาทางการของฝรั่งเศสแทนที่ภาษาละติน และกำหนดให้ใช้ภาษาฝรั่งเศสในการบริหารราชการ ในราชสำนัก และในการพิจารณาคดีในศาล ในช่วงนี้ได้มีการปรับปรุงตัวสะกดและการออกเสียงในภาษาฝรั่งเศส นักวิชาการเรียกภาษาฝรั่งเศสในยุคนี้ว่า ภาษาฝรั่งเศสยุคกลาง ในศตวรรษที่ 17 หลังจากที่มีการกำหนดมาตรฐานภาษาฝรั่งเศสให้พูดสำเนียงเดียวกันทั่วประเทศ การปรับปรุงและการกำหนดหลักต่างๆ ของภาษา ก็ทำให้เกิดภาษาฝรั่งเศสที่เรียกกันว่าภาษาฝรั่งเศสยุคใหม่ ซึ่งพูดกันอยู่ในปัจจุบัน<br />ในปี พ.ศ. 2177 พระคาร์ดินัลรีเชอลีเยอ (Richelieu) ได้ก่อตั้งองค์กรที่เรียกว่า L'Académie Française (อากาเดมี ฟรองแซส หรือ วิทยสถานแห่งประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเปรียบได้กับราชบัณฑิตยสถานของไทย) เพื่อทำหน้าที่ดูแลรักษาภาษาฝรั่งเศสไว้ไม่ให้วิบัติ และคงภาษาฝรั่งเศสให้อยู่ในรูปแบบเดิมให้มากที่สุด ในช่วงศตวรรษที่ 17-19 ฝรั่งเศสได้มีบทบาทสำคัญในการเมืองของทวีปยุโรป และเป็นศูนย์กลางของปรัชญารู้แจ้งที่แพร่หลายกันอยู่ในสมัยนั้น ทำให้อิทธิพลของภาษาฝรั่งเศสแผ่ออกไปกว้างขวางและกลายเป็นภาษากลางของยุโรป มีบทบาทสำคัฐทางการทูต วรรณคดี และศิลปะ มหาราชในยุคนั้นสองพระองค์ คือ พระนางแคทเธอรีนมหาราชินีแห่งรัสเซีย และพระเจ้าเฟรดริกมหาราชแห่งปรัสเซีย สามารถตรัสและทรงพระอักษรเป็นภาษาฝรั่งเศสได้ดี</span></div><br /><br /><div><br /></div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5426981603716744178" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 287px; CURSOR: hand; HEIGHT: 192px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjNcwiCfDraE3N9VYysO19L2F_221DRTNsFzgLVOoTYZhxnESO14R1_QxdVG-SeIKc1vFRVQrlTKzimfMVn57LdaBr3h4dbsCe7ZwMN9Dw791GBZaBDLvTceQYg7H9eo9PxBxh5h2Odvn9N/s320/000006.jpg" border="0" /><br /><br /><div><span style="font-size:0;"><br /></div></span><strong><span style="color:#ffcccc;"></span></strong><span style="font-size:130%;"><strong><span style="color:#ffcccc;">ภาษาฝรั่งเศสในปัจจุบัน</span></strong><br /></span>ภาษาฝรั่งเศสในปัจจุบัน ถูกแทรกซึมโดยอิทธิพลของ<span style="font-size:0;">ภาษาอังกฤษที่แผ่ขยายอย่างกว้างขวาง มีการนำคำภาษาอังกฤษมาใช้ปะปนกับภาษาฝรั่งเศสเดิมอย่างแพร่หลาย ซึ่งมีผลเสียต่อการอนุรักษ์ภาษาฝรั่งเศส รัฐบาลได้ออกกฎหมาย</span>บางฉบับเพื่ออนุรักษ์ภาษาฝรั่งเศส โดยกำหนดให้ใช้คำจากภาษาฝรั่งเศสแท้ๆ ในโฆษณา ประกาศ และเอกสารราชการต่าง ๆ นอกจากนี้ยังกำหนดให้สถานีวิทยุทุกสถานี เปิดเพลงภาษาฝรั่งเศสอย่างน้อยร้อยละ 40 ของเพลงทั้งหมดที่เปิดในสถานีนั้น<br /></div><br /><br /><div><span style="color:#cc6600;">สถานะของภาษาฝรั่งเศสในประเทศฝรั่งเศส</span><br />ฝรั่งเศสกำหนดให้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาราชการของประเทศตั้งแต่<span style="font-size:0;">ปี พ.ศ. 2535 รัฐบาล</span>กำหนดให้เอกสารราชการ สัญญาต่าง ๆ การโฆษณาประชาสัมพันธ์ การศึกษา จะต้องทำเป็นภาษาฝรั่งเศส หากจำเป็นต้องใช้คำภาษาต่างประเทศ ก็ให้ใส่คำแปลเป็นภาษาฝรั่งเศสควบคู่กันไปด้วย<br />อย่างไรก็ดี ทางการไม่ได้ควบคุมการใช้ภาษาในเอกสารของเอกชน และในเว็บไซต์ของเอกชน ซึ่งหากทำการควบคุมแล้ว ก็อาจขัดต่อหลักการเสรีภาพในการพูดได้<br /><br /><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5426983107741583570" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 256px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhJ24RR87SzYTIVpH0NZ3zVlZmnRWMXBdSJYW8iUWt7cf2OHWZsrsZKweC7SLec-_W75C3NhuyCaoqGVZxDm0HtVsTk1YdDe_I9YPzqWKx196XipxV4JaRbLOTmHXJDjYF2xHp3HkV9Jw-o/s320/00007.jpg" border="0" /><br /><div></div></div>ZAsahttp://www.blogger.com/profile/17162817877063417407noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1628616998738174643.post-51364695324131431222010-01-11T03:42:00.000-08:002010-01-11T04:21:33.909-08:00อาหารที่ขึ้นชื่อของฝรั่งเศส //*+*<strong><span style="font-size:180%;"><span style="color:#ffff33;"> ครัวซอง</span><br /></span><span style="color:#ffff33;"></span></strong><br /><div><div><div><div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5425449485112770818" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 227px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgY_Ya5ESLvUpEOHQ660ZSvqbwicOXOn3Bsw7qjRQE7paE1PWmAsxOJ_DDyNsONsztmh1GME0vnlQi9W1bevcEmP9Fh-gkvSPG4zYqswEKj3-mORC6FRvr3rAdKH-YiEusjxGMbhC0njf54/s320/%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%8B%E0%B8%AD%E0%B8%87.jpg" border="0" /><br /><span style="font-size:0;"><br /><br /><p><span style="font-size:130%;color:#ffff33;">ครัวซอง ( croissant) คือขนมอบชนิดหนึ่งที่กรอบ ชุ่มเนย และโดยทั่วไปจะมีลักษณะโค้งอันเป็นที่มาของชื่อ "croissant" ซึ่งในภาษาฝรั่งเศสหมายถึง "จันทร์เสี้ยว" บางทีก็ถูกเรียกว่า crescent roll (โรลจันทร์เสี้ยว)<br />การทำครัวซองค์จะต้องใช้แป้งพายชั้น (puff pastry - พัฟ เพสทรี่) ที่ผสมยีสต์ นำมารีดให้เป็นแผ่น วางชั้นของเนยลงไป พับและรีดให้เป็นแผ่นซ้ำไปมา ตัดเป็นแผ่นสามเหลี่ยม นำไปม้วนจากด้านกว้างไปด้านแหลม บิดปลายให้โค้งเข้าหากัน อบโดยใช้ไฟแรงให้เนยที่แทรกอยู่เป็นชั้นดันแป้งให้ฟูก่อน จึงค่อยลดไฟลงไม่ให้ไหม้</span></p><p></p><p><span style="color:#33cc00;"> <span style="font-size:180%;"> คีช</span> </span><span style="color:#33cc00;"></p></span><a class="image" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ไฟล์:Quiche.jpg"></a><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5425450059155665186" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgPL6WShkAfitUmKdB8n2Sz8zOS64YZmv8epTYpt2Fb9nqOSWbQLUQtsG1UrBHf2CoJ7xgpOP6PI1sT932D_uI-_lWD7q6W7oUd_PgMV8kVTzAoImzbCBajychlQ5tPNahtJdPOaWWO0ywy/s320/%E0%B8%84%E0%B8%B5%E0%B8%8A.jpg" border="0" /><br /><a class="internal" title="ขยาย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ไฟล์:Quiche.jpg"></a></span><span style="color:#000000;"><span style="font-size:130%;color:#33cc00;"> เมดิเตอเรเนียนคีช<br />คีช ( quiche) เป็นอาหารจานอบชนิดหนึ่งโดยมีส่วนประกอบหลักคือ ไข่ นม หรือ ครีม ถึงแม้ว่าคีชจะมีลักษณะคล้ายพายแต่คีชถูกจัดเป็นอาหารคาว โดยในคีชอาจมีส่วนประกอบอื่นเช่น เนื้อสัตว์ ผัก เนยแข็ง ได้<br />ถึงแม้ว่าคีชจะมีส่วนประกอบหลายอย่างคล้ายอาหารประเภทพาสตา แต่ไม่ถูกจัดว่าเป็นส่วนหนึ่งของพาสตา</span></span><span style="color:#33cc00;"><span style="font-size:130%;"><br /><br /></span><span style="font-size:0;"><br /></span><br /><br /><p><span style="color:#6666cc;"><span style="font-size:180%;"> บาเกต</span><br /></span></p><a class="image" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ไฟล์:Morning_baguettes.jpg"></a><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5425450545934799954" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 240px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjpK-uwCy9g_-zEVtVERQn8DOVMtBzn0eOdA4CD_gnX5H52MLYB4xdn-YkJHI_McUlrfUCYuFlEpR5pUhlPna4IFJ3FE1lO3avORJgYqzL-oGe4PyvhrbA4HfQQzenH7gvqoNRrBcRYkl_S/s320/%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%95.jpg" border="0" /><br /><a class="internal" title="ขยาย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ไฟล์:Morning_baguettes.jpg"></a><span style="font-size:130%;color:#6666cc;"> ขนมปังฝรั่งเศส<br />บาเกต ( baguette) หรือ </span></span><span style="font-size:130%;color:#6666cc;">ขนมปังฝรั่งเศส เป็นขนมปังมีลักษณะรูปทรงเป็นแท่งยาวขนาดใหญ่ เปลือกนอกแข็งกรอบ เนื้อในนุ่มเหนียว และเป็นโพรงอากาศ มักนำมาหั่นเฉียงเป็นแผ่นหนา เพื่อรับประทานกับซุป ปาดเนยสด หรือประกอบทำเป็นแซนด์วิช<br /></span></div><br /><br /><br /><div><span style="font-size:0;"><span style="font-size:0;"><span style="color:#ff6600;"> <span style="font-size:180%;"> ปาเต</span></span></span></span></div><br /><br /><div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5425451020242424546" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 274px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgsrVZJ81pFw_udU3D-ujoxTj9wmac5S66EjUhDNCOIeafOaS0oLBf60dHe-iYv5YaN4i0sEWXxmNb9DyNGyZqOgsdUWj_1crikSJ-N-Xt3bVExXAVvmY-VfcQXg41arXbwGjvF7rZXMgfC/s320/%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%95.jpg" border="0" /><span style="font-size:0;"><span style="font-size:0;"><br /><a class="image" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ไฟล์:Question_book-4.svg"></a><br /><a class="internal" title="ขยาย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ไฟล์:Pates_p1150435.jpg"></a><span style="font-size:130%;color:#ff9900;"> ปาเตหลายหลายชนิดคู่กับแตร์รีน<br />ปาเต ( pâté) </span></span></span><span style="font-size:130%;color:#ff9900;">เป็นอาหารยุโรปประเภทหนึ่ง ในภาษาฝรั่งเศสหมายถึงเนื้อบดผสมไขมัน ปาเตโดยทั่วไปมีลักษณะเป็นซอสสำหรับทา ทำจากเนื้อบดละเอียดหรือส่วนผสมของเนื้อและตับบดหยาบ ๆ และมักผสมไขมัน ผัก สมุนไพร เครื่องเทศ หรือไวน์ เป็นต้น<br />ในประเทศฝรั่งเศสและประเทศเบลเยียม ปาเตอาจใช้เป็นไส้พายหรือขนมปังแถว เรียก "ปาเตอ็องกรูต" (ฝรั่งเศส: pâté en croûte) หรือใช้อบด้วยแตร์รีนหรือแม่พิมพ์แบบอื่น เรียก "ปาเตอ็องแตร์รีน" (ฝรั่งเศส: pâté en terrine) ปาเตประเภทที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ "ปาเตเดอฟัวกราส์" (ฝรั่งเศส: pâté de foie gras) ทำจากตับของห่านที่ขุนจนอ้วน คำว่า "ฟัวกราส์อองตีเยร์" (ฝรั่งเศส: foie gras entier) หมายถึง ตับห่านธรรมดาที่ได้รับการปรุงสุกและหั่นเป็นแผ่น ไม่ใช่ปาเต<br />ส่วนในประเทศฮอลแลนด์ ประเทศเยอรมนี ประเทศฟินแลนด์ ประเทศฮังการี ประเทศสวีเดน และประเทศออสเตรีย ปาเตที่ทำจากตับบางชนิดจะมีลักษณะอ่อนยวบ โดยมากเป็นไส้กรอกที่ใช้ทาได้ ภาษาดัตช์เรียก "leverworst" ภาษาเยอรมันเรียก "leberwurst" </span></div><br /><br /><div><span style="font-size:0;"><span style="font-size:0;"><span style="font-size:0;"></span></span></span></div><br /><br /><div><span style="font-size:130%;color:#330033;"> <span style="font-size:180%;"> ฟัวกรา</span></span></div><div><span style="font-size:130%;color:#330033;"></span> </div><div></div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5425452044446564002" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 270px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjRlGDOH1Wb7Yy-WSUNpl2T_P9O9EnU7ovE2kEGWaP-RSkwkNoFLiVzyUyPK69uVN9Q-4rOBYO_EhO78-U3vHpvifbghpvZ1Wx9NVMxPDxFfemNSaPPhtoaKn12tzUBHtvvhJE2g3uti3fs/s320/%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B2.jpg" border="0" /><br /><br /><div><br /><a class="image" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ไฟล์:Pate_de_foie_gras_with_Sauternes_and_bread.jpg"></a><br /><a class="internal" title="ขยาย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ไฟล์:Pate_de_foie_gras_with_Sauternes_and_bread.jpg"></a><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#330033;"> ฟัวกรา เสิร์ฟแบบปิกนิกพร้อมขนมปัง<br />ฟัวกรา </span><span style="font-family:arial;font-size:130%;color:#330033;">( Foie gras ) แปลเทียบเคียงว่า fat liver คือตับห่านหรือเป็ดที่ถูกเลี้ยงให้อ้วนเกิน ฟัวกราได้ชื่อว่าเป็นอาหารฝรั่งเศสที่ดีที่สุด เช่นเดียวกับทรัฟเฟิล มีลักษณะนุ่มมันและมีรสชาติที่แตกต่างจากตับของเป็ดหรือห่านธรรมดา<br />ใน พ.ศ. 2548 ทั่วโลกมีการผลิตฟัวกราประมาณ 23,500 ตัน ในจำนวนนี้ ประเทศฝรั่งเศสเป็นผู้ผลิตมากที่สุดคือ 18,450 ตัน หรือร้อยละ 75 ของทั้งหมด โดยร้อยละ 96 ของฟัวกราจากฝรั่งเศสมาจากตับเป็ด และร้อยละ 4 มาจากตับห่าน ประเทศฝรั่งเศสบริโภคฟัวกราใน พ.ศ. 2548 เป็นจำนวน 19,000 ตัน<br />ประเทศฮังการีผลิตฟัวกรามากเป็นอันดับสอง และส่งออกมากเป็นอันดับหนึ่ง คือ 1,920 ตันใน พ.ศ. 2548 โดยเกือบทั้งหมดส่งออกไปที่ฝรั่งเศส</span></div></div></div></div><br /><div><span style="font-size:0;"></span><br /><div></div><br /><div><span style="color:#33ffff;"> <span style="font-size:180%;"> ราทาทุย</span></span></div><div><span style="color:#33ffff;"></span> </div><div></div><div></div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5425452683891799506" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 240px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgKzFVpwEOelmg2x-5WfNwVLNfbX2EuA-CQkx6TijMTlczPEbuM00TXJcjhpGiCrqV7bS4JcDXY95vimhRfGm5otE4xC4C8fYXMWsBTqm_2flVssCn0zzaalOQR4_IvNgSrAz78NDW8ObHn/s320/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%A2.jpg" border="0" /><br /><div><br /><a class="image" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ไฟล์:Ratatouille02.jpg"></a><br /><a class="internal" title="ขยาย" href="http://th.wikipedia.org/wiki/ไฟล์:Ratatouille02.jpg"></a><span style="font-size:130%;color:#33ffff;"> ชามที่มีราทาทุยและขนมปังเคียงข้าง<br />ราทาทุย ( </span><span style="font-size:130%;color:#33ffff;">Ratatouille ) เป็นอาหารพื้นเมืองของฝรั่งเศส ในเขต Provençal โดยมีลักษณะเป็นสตูว์ผัก มีต้นกำเนิดมาจากเมือง Nice ทานตอนใต้ของฝรั่งเศส อาหารชนิดนี้มีชื่อเต็มว่า ratatouille niçoise<br />รูปแบบของอาหาร<br />คำว่า ratatouille มาจากภาษาอ็อกซิตันว่า "ratatolha" ราทาทุยปัจจุบันพบเห็นได้ที่ Occitan Provença และ Niça โดยมักจะทำในหน้าร้อนโดยใช้ผักในฤดูร้อน Ratatolha de Niça สูตรดั้งเดิมนั้นจะใช้เพียงแค่ ซุชีนี่, มะเขือเทศ, พริกหยวกแดงและเขียว, หัวหอม, และกระเทียม ราทาทุยในปัจจุบันจะมีการใส่มะเขือลงไปในส่วนผสมด้วย<br />ปกติราทาทุยจะเสิร์ฟเป็นอาหารข้างเคียงกับอาหารหลัก หรือบางครั้งก็เสิร์ฟเป็นอาหารหลักบนโต๊ะอาหาร</span></div><div><span style="color:#33ffff;"></span></div><div></div><div> </div><div> </div><div> *******************************************************</div><br /><div><span style="font-size:0;"><span style="font-size:0;"><span style="font-size:0;"></span></span></span></div></div>ZAsahttp://www.blogger.com/profile/17162817877063417407noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1628616998738174643.post-77791788821471710632010-01-07T04:36:00.000-08:002010-01-07T05:15:13.894-08:00เรื่องของ......ไวน์ *_*<div><br /><br /></div><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhf2Aw5BwbwVGAmkQsSs8hYNgjdJ1e5DSQoBJNHL2Xo7wfNWpVK9xB8Y4mL6qsj-jvaiW9gVhvO0idCM94skCGDYVkFAVlULzc4t0CI0QYuTqZ645FOvPM1CDdYUFormY_i_p_bYwcYe8p4/s1600-h/ไวน์.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5423976607471386786" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 243px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhf2Aw5BwbwVGAmkQsSs8hYNgjdJ1e5DSQoBJNHL2Xo7wfNWpVK9xB8Y4mL6qsj-jvaiW9gVhvO0idCM94skCGDYVkFAVlULzc4t0CI0QYuTqZ645FOvPM1CDdYUFormY_i_p_bYwcYe8p4/s320/%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B9%8C.jpg" border="0" /></a><br /><br /><br /><br /><div><strong><span style="color:#ff9900;">ไวน์มีต้นกำเนิดในศตวรรษที่ 19 เมื่อหลุยส์ ปาสเตอร์ นักวิทยาศาสตร์คนดังของโลกพบว่า "ยีสต์" หรือเชื้อราขนาดเล็ก เป็นตัวเปลี่ยนน้ำตาลในผลไม้เป็นแอลกอฮอล์ โดยอาศัยปฏิกริยาที่ค่อนข้างซับซ้อนการหมักน้ำองุ่นให้กลายเป็นเหล้าเป็นไวน์นั้นเป็นวิธีตามธรรมชาติ โดยยีสต์ที่มีอยู่ตามธรรมชาติของผิวองุ่นให้เป็นแอลกอฮอล์และฟองก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ นอกจากนี้อาจเติมยีสต์เข้าไปอีก เพื่อช่วยกระบวนการหมักไวน์แดงทำมาจากองุ่นแดง ที่หมักเชื้ออุณหภูมินานประมาณ 2 สัปดาห์ ด้วยอุณหภูมิ 21-29 องศาเซลเซียส ส่วนไวน์ขาวทำมาจากองุ่นเขียวขาว หมักเชื้อที่อุณหภูมิ 10-15 เซลเซียส นานประมาณ 3-6 สัปดาห์ขั้นตอนคร่าวๆที่ผู้ผลิตไวน์ทำกันก็คือ สกัดน้ำออกมาจากองุ่นก่อนและใส่ถังหมัก เมื่อหมักและกรองตะกอนจากเหล้าองุ่นแล้ว จึงนำเก็บไว้แล้วค่อยบรรจุขวดทีหลังรสชาติของไวน์ทที่ต่างกันนั้น นอกจากจะแตกต่างที่ตัวองุ่นแล้ว ยังขึ้นกับขั้นตอนและเวลาของการหมักอีกด้วย<br />ในยุคอียิปต์โบราณ การเพาะปลูกองุ่นเพื่อทำไวน์มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบระเบียบมาก เทพต่างๆ ในตำนานเทพปกรณัม ทั้งโอซิริสของอียิปต์ เทพไดโอนีซุสของกรีก บัคคัสของโรมัน หรือกิลกาเมชของบาบิโลน ล้วนแล้วแต่เป็นเทพแห่งไวน์ นอกจากนั้น ไวน์ยังเป็นสัญลักษณ์ของพระโลหิตของพระเยซูเจ้าตามความเชื่อทางศาสนาคริสต์ ไวน์มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเป็นอันมากในช่วงสองร้อยปีหลัง ชาวโรมันในสมัยก่อนนั้นดื่มไวน์ที่มีรสฉุนจนต้องผสมน้ำทะเลก่อนดื่ม รสชาติของไวน์ดังกล่าวแตกต่างจากไวน์ในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิงในสมัยศตวรรษที่ 19 ไวน์ถือว่าเป็นเครื่องดื่มบำรุงกำลัง โดยคนงานที่รับจ้างเก็บเกี่ยวพืชผลจะดื่มไวน์ถึงวันละ 6-8 ลิตร และนายจ้างจะจ่ายไวน์ให้เป็นส่วนหนึ่งของค่าแรง เพราะสมัยนั้นน้ำยังไม่ค่อยสะอาดพอที่จะนำมาดื่มได้</span></strong></div><br /><br /><div><strong><span style="color:#ff9900;"></span></strong></div><br /><br /><div><strong><span style="color:#ff9900;"></span></strong></div><br /><br /><div><strong><span style="color:#ff9900;"></span></strong></div></div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5423977029021986514" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 297px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgd5wyWgRJ4miX7Sr6JyIwOofiMfd9GeOoGag0F9q7zWJOyWYV2erqh50CenrjBgTCSGQg8lvOqqqGtKs6KKvCfRmQftzR5cRZXGL8CuLsBwZQoWHgyaz__3p4jRCrKmugEHTRgWxWcH-Fg/s320/%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B9%8C2.jpg" border="0" /><br /><br /><br /><p></p><br /><br /><br /><p><span style="color:#33ff33;">การแบ่งประเภทไวน์ในหลายๆ ประเทศจะแบ่งประเภทไวน์ตามพันธุ์ขององุ่นที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบ และในประเทศฝรั่งเศสมีการแบ่งประเภทไวน์ตามพื้นที่แหล่งผลิตหรือครู (ฝรั่งเศส:cru) ผู้ผลิต และปีที่ผลิตพันธุ์องุ่นพันธุ์องุ่นที่นำมาใช้ทำไวน์นั้นมีหลากหลายมาก พันธุ์องุ่นที่มีชื่อเสียงในการทำไวน์แดงได้แก่กาแบร์เนต์-โซวิญยง (cabernet-sauvignon) กาแบร์เนต์-ฟร็องค์ (cabernet franc) กาเมย์(gamay) แมร์โลต์ (merlot) ปิโนต์ นัวร์ (pinot noir) ซีราห์ (syrah) แซงฟองเดล (zinfandel)ส่วนพันธุ์องุ่นที่นิยมนำมาทำไวน์ขาวคือชาร์โดงเนย์(chardonnay) เกอวูร์ซ์ตรามิแนร์ (gewürztraminer) เชอเน็ง (chenin) มุสกาต์ (muscat) ปิโนต์ กรีส์ (pinot gris) เรซลิง (riesling) โซวิญยง ปล๊องค์ (sauvignon blanc) เซมิยง (sémillon) ซิลวาแนร์ (sylvaner) อมิญ (amigne)(ในเขตวัลเลส์ ประเทศสวิสต์เซอร์แลนด์) ซาวัญเน็ง (savagnin) พื้นที่ หมายถึงไวน์เฉพาะถิ่นที่ผลิตในพื้นที่ซึ่งกำหนดไว้ โดยพื้นที่แต่ละแห่งจะมีลักษณะแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม สภาพพื้นดิน สภาพอากาศ ซึ่งทำให้องุ่นที่ปลูกในพื้นที่นั้นๆ ให้รสชาติและลักษณะไวน์ที่เป็นลักษณะเฉพาะและเป็นที่รู้จักเพิ่มขึ้น ไวน์ของผู้ผลิตในประเทศต่างๆ (ออสเตรเลีย แอฟริกาใต้ ชิลี แคลิฟอร์เนีย - สหรัฐอเมริกา) สร้างความหลากหลายให้กับรสชาติไวน์ตามลักษณะของพื้นที่ผลิต (แสงแดด ความชื้น คุณภาพดิน)ในฝรั่งเศส พื้นที่ผลิตมักจะสัมพันธุ์กับพันธุ์องุ่น โดยในพื้นที่หนึ่งๆ อาจจะปลูกองุ่นเพียงพันธุ์เดียว หรือหลายพันธุ์เป็นการเฉพาะ ตัวอย่างเช่น ไวน์มาดิรอง (ฝรั่งเศส:madiran)จากแถบเทือกเขาปิเรเนส์จะทำจากองุ่นพันธุ์ตองนาต์ (ฝรั่งเศส:tannat)เท่านั้นผู้ผลิตจะตั้งชื่อไวน์ตามชื่อพื้นที่สำหรับไวน์บูร์โกญ(ฝรั่งเศส:Bourgogne) หรือ เรียกในภาษาอังกฤษว่าเบอร์กันดี (อังกฤษ: Burgundy) ส่วนไวน์บอร์โดซ์ (ฝรั่งเศส:Bordeaux) ตั้งตามชื่อปราสาท (ฝรั่งเศส:châteaux - ชาโตซ์)ปีที่ผลิต ปีที่ผลิต คือ ปีที่มีการเก็บองุ่นซึ่งนำมาใช้ทำไวน์นั้นๆ เป็นตัวบ่งบอกถึงลักษณะอากาศในปีต่างๆ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของคุณภาพไวน์ โดยปกติผู้ผลิตจะเขียนชื่อปีที่ผลิตไว้บนฉลาก กฎหมายของสหภาพยุโรปไม่ได้กำหนดให้แจ้งปีที่เก็บเกี่ยวองุ่นที่ใช้ทำไวน์แต่อย่างใดชนิดของไวน์ไวน์แดง ( red wine)ตัวอย่างไวน์แดงที่ได้รับความนิยมBarolo - อิตาลี Brunello di Montalcino - อิตาลี Beaujolais - ฝรั่งเศส Bordeaux - ฝรั่งเศส Bourgogne หรือ Burgundy - ฝรั่งเศส Cabernet Sauvignon - ฝรั่งเศส แคลิฟอร์เนีย ออสเตรเลีย โมลโดวา แอฟริกาใต้ Carmenere - ชิลี Chianti - อิตาลี Merlot - ฝรั่งเศส แคลิฟอร์เนีย วอชิงตัน ชิลี แอฟริกาใต้ Pinot Noir - ฝรั่งเศส แคลิฟอร์เนีย โอเรกอน แอฟริกาใต้ Pinotage - แอฟริกาใต้ Rioja - สเปน Syrah/Shiraz - ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย แคลิฟอร์เนีย แอฟริกาใต้ Valpolicella - อิตาลี Zinfandel - แคลิฟอร์เนีย ไวน์ขาว (White wine)ไวน์ขาวตัวอย่างไวน์ขาวที่ได้รับความนิยมChardonnay - ฝรั่งเศส California Australia แอฟริกาใต้ Chablis - ฝรั่งเศส Chenin Blanc - South Africa ฝรั่งเศส Frascati - อิตาลี Gewürztraminer - ฝรั่งเศส เยอรมัน แอฟริกาใต้ Liebfraumilch - เยอรมัน Orvieto - อิตาลี Pinot Gris/Pinot Grigio - ฝรั่งเศส อิตาลี โอเรกอน Pouilly-Fuissé - ฝรั่งเศส Riesling – ฝรั่งเศส เยอรมัน Sauvignon Blanc - ฝรั่งเศส แคลิฟอร์เนีย นิวซีแลนด์ แอฟริกาใต้ Semillon - แอฟริกาใต้ Soave - อิตาลี Verdicchio dei castelli di Jesi - อิตาลี สปาร์กลิงไวน์ (Sparkling wine)ตัวอย่างสปาร์กลิงไวน์ที่ได้รับความนิยมAsti spumante - อิตาลี Cava - สเปน Champagne - ฝรั่งเศส Franciacorta - อิตาลี Prosecco - อิตาลี Sekt - เยอรมัน Sparkling wine – แคลิฟอร์เนีย โอเรกอน รัฐวอชิงตัน นิวแม็กซิโกการผลิตไวน์ ไวน์ (wine) หรือสุราผลไม้ หมายถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ได้จากการหมักน้ำผลไม้ด้วยเชื้อยีสต์ ซึ่งถ้าจะพูดให้ถูกต้องแน่นอนแล้ว ผลไม้ที่ใช้ทำไวน์ควรจะเป็นองุ่น แต่โดยทั่วๆ ไปแล้ว ผลไม้ ทุกชนิดจะใช้ทำไวน์ได้โดยมักจะนิยมบอกชื่อชนิดของผลไม้ไว้ด้วย เช่น ไวน์สัปปะรด ไวน์กระเจี๊ยบ เป็นต้น ในไวน์จะประกอบด้วย เอธิลแอลกอฮอล์หรือเอธานอล (Ethyl alcohol or Ethanol) น้ำตาล คาร์โบไฮเดรต กรดอินทรีย์ สารให้สี (pigments) สารให้กลิ่นรส ไวตามินและแร่ธาตุต่างๆ </span></p><br /><p></p><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5423977661477475026" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 204px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhzgu55LWfeDoUzq2mOTc6wP9ZsdnCYPhXX5Uw7pujTw8Wd-EWNGKi_GWI8GR4GrVcs70kJixhJ8Cftkmun4fUVbPHTgk_pNoId7LxKucSQAv6R6vBo20Nj4lP5m1nwc1cYNQjRUfMOiAv2/s320/%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B9%8C3.jpg" border="0" /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><p><span style="color:#33ccff;">ยีสต์เป็นจุลินทรีย์ชนิดหนึ่ง มีลักษณะดังภาพที่ 5 เป็นจุลินทรีย์ที่พบทั่วไปในธรรมชาติ มักไม่เป็นพิษต่อมนุษย์ โดยในการหมักแอลกอฮอล์ หรือไวน์ ยีสต์มักจะถูกใช้ในรูปของส่า ยีสต์ส่วนใหญ่มีความสามารถในการสร้างแอลกอฮอล์แตกต่างกันออกไปตามสายพันธุ์ ยีสต์ที่นิยมใช้ในการหมัก แอลกอฮอล์ก็คือ ยีสต์ในสกุล Saccharomyces โดยทั่วไปยีสต์จะมีการเจริญใน 2 ลักษณะคือ ในสภาพ ที่มีอากาศยีสต์จะใช้น้ำตาลไปในการเจริญเพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์ แต่ในสภาพไม่มีอากาศยีสต์จะใช้น้ำตาลไปเพื่อสร้างแอลกอฮอล์ ดังนั้นในการหมักแอลกอฮอล์การควบคุมปริมาณอากาศที่ยีสต์ได้รับจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อปริมาณของแอลกอฮอล์ที่ผลิตได้ ยีสต์ที่ใช้ในการผลิตไวน์เป็นยีสต์ที่ลักษณะเฉพาะ คือ สามารถทนต่อแอลกอฮอลล์และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ที่ความเข้มข้นสูงกว่ายีสต์ปกติ ทำงานได้ดีที่อุณหภูมิต่ำ ให้ไวน์ที่มีกลิ่นรสดี ยีสต์ที่ใช้ทำไวน์มักขายใน 3 รูปแบบ คือ ยีสต์ผง ยีสต์น้ำ และยีสต์บนวุ้น การเลือกชนิดยีสต์ มักขึ้นอยู่กับชนิดของไวน์ที่ต้องการทำเป็นสำคัญ<br />กระบวนการผลิตไวน์<br />1. การเตรียมวัตถุดิบในการหมัก ในกระบวนการผลิตแอลกอฮอล์จะเริ่มต้นจากการเตรียมน้ำผลไม้หรือน้ำเชื่อม (สารละลาย น้ำตาล) ให้มีความเข้มข้นที่เหมาะสมต่อการเป็นอาหารของยีสต์ โดยมีกระบวนการเตรียมคือ ต้องนำผลไม้นั้นมาบีบหรือคั้นให้เป็นน้ำผลไม้เสียก่อน ในกรณีของแป้งต้องมีการย่อยเพื่อเปลี่ยนแป้งเป็น น้ำเชื่อมก่อนเมื่อได้น้ำผลไม้หรือน้ำเชื่อมแล้ว จะต้องทำการวัดปริมาณน้ำตาลที่มีอยู่ เพื่อปรับปริมาณน้ำตาลในน้ำเชื่อมให้เหมาะสมต่อการหมัก นอกจากนี้จะต้องมีการปรับความเป็นกรด-ด่างให้มีความ<br />เหมาะสมต่อการทำงานของยีสต์ด้วย โดยน้ำผลไม้หรือน้ำเชื่อมที่นำมาใช้หมักจะต้องปรับให้มีปริมาณกรดประมาณ 0.60-0.75 เปอร์เซ็นต์ หรือค่าพีเอชประมาณ 3.3-4.5 ในน้ำผลไม้บางชนิดที่มีปริมาณธาตุอาหารน้อยอาจต้องมีการเติมธาตุอาหารเสริม จำพวกเกลือแอมโมเนีย เช่น แอมโมเนียฟอสเฟต แอมโมเนียมซัลเฟต และ แอมโมเนียคาร์บอเนต เพื่อช่วยในการเจริญเติบโตของยีสต์ด้วย ซึ่งในกรณีของการหมักแอลกอฮอล์จากมันสำปะหลัง การเติมธาตุอาหารไม่จำเป็น เนื่องจากมีสารอาหารเพียงพอ เมื่อปรับปริมาณน้ำตาล ค่าความเป็นกรดให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสมแล้ว จำเป็นต้องทำการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์อื่นที่มีในน้ำผลไม้หรือน้ำเชื่อม โดยการใช้ความร้อน เช่น ทำการต้มที่ 50-60 องศาเซลเซียส 2-3 นาที หรืออาจทำได้โดยการใช้สารเคมี เช่น สารโพแทสเซียมเมตาไบซัลไฟท์ (Potassium metabisulphite) ซึ่งจะปลดปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ออกมา ซึ่งจะปลดปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ออกมา โดยโพแทสเซียมเมตาไบซัลไฟท์ 1 กรัมจะมีปริมาณซัลเฟอร์ไดออกไซด์ 150 ส่วน ในล้านส่วน ต่อน้ำหนึ่งแกลลอน ในทางปฏิบัติมักจะเติมลงในน้ำผลไม้ในอัตราส่วน ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ 50-100 ส่วนในล้านส่วน นั่นคือเติมสารโพแทสเซียมเมตาไบซัลไฟท์ 1 กรัม ต่อน้ำผลไม้ 3 แกลลอน นั่นเอง โดยจะต้องทิ้งไว้อย่างน้อย 4 ชั่วโมงจึงจะเติมส่า (เชื้อยีสต์) ลงไปในถังหมักได้<br />2. การเตรียมส่าไวน์ การเตรียมส่าไวน์ หรือการเตรียมเชื้อยีสต์ให้พร้อมสำหรับการหมักนั้น ทำได้โดยการแบ่ง น้ำผลไม้ที่ทำการปรับค่าความเป็นกรด-ด่าง และปริมาณน้ำตาลเรียบร้อยแล้ว มาเติมลงในขวดโหลแก้วปากแคบประมาณ หนึ่งในห้าของปริมาตรขวด จากนั้นถ่ายเชื้อยีสต์จากหลอดทดลองโดยการนำน้ำผลไม้ปริมาณเล็กน้อยลงไปกลั้ว เพื่อให้เซลยีสต์หลุดออกมาแล้วเทใส่ขวดโหล หรือถ้าใช้ยีสต์ผงก็เติมลงในขวดโหลได้โดยตรงตามอัตราส่วนที่กำหนดโดยผู้ผลิต กระบวนการนี้เป็นกระบวนการที่ต้องการอากาศเพื่อที่จะให้ยีสต์เกิดการแพร่พันธุ์อย่างรวดเร็ว มักมีความร้อนเกิดขึ้นสูง จึงควรวางในที่มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ปกติการเตรียมส่านี้มักใช้เวลาไม่เกิด 24-48 ชั่วโมง ก็จะได้ส่าที่พร้อมสำหรับ การหมัก สังเกตได้ว่ามีการเจริญของยีสต์ได้จากฟองอากาศที่เกิดขึ้นอย่างมากในขวดแก้ว และอุณหภูมิ ที่เพิ่มขึ้น<br />3. การเติมส่าไวน์ลงในถังหมักและการหมัก การใส่เชื้อส่าไวน์ คือการใส่เชื้อยีสต์บริสุทธิ์ เพื่อทำให้การหมักเป็นไปได้ด้วยดีและรวดเร็ว และเพื่อทำให้เชื้ออื่นๆ ปะปนได้น้อยลง เพราะเชื้ออื่นๆ เจริญเติบโตสู้เชื้อยีสต์ที่มีในเชื้อส่าไม่ได้ การเติมเชื้อส่าลงในกระบวนการหมักไวน์มักอธิบายได้ง่ายๆ คือ<br />น้ำตาล + ยีสต์ Saccharomyces = แอลกอฮอลล์ + แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์<br />ในระหว่างการหมักนี้มักจะเกิดความร้อนขึ้นอย่างมากในช่วง 12 ชั่วโมงแรก หลักจากใส่เชื้อส่าความร้อนนี้เกิดจากการเจริญของยีสต์นั้นเอง ทำให้อุณหภูมิของไวน์สูงขึ้น ดังนั้น ในการหมักจึงต้องระมัดระวังไม่ให้ไวน์มีอุณหภูมิที่สูงเกินไป ซึ่งจะทำให้เชื้อยีสต์ตาย และการหมักหยุดชะงักลง ดังนั้น เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวภาชนะที่ใช้ในการหมักไวน์จึงควรวางในบริเวณที่มีการถ่ายเทความร้อนได้ดี เพื่อลดความร้อนที่เกิดจากการหมัก การหมักไวน์จะใช้เวลานานเท่าไรขึ้นอยู่กับชนิดของน้ำผลไม้ที่ใช้และชนิดของเชื้อยีสต์ โดยที่ความเร็วของการหมัก สามารถติดตามได้จากการติดตามการใช้น้ำตาลของยีสต์ โดยวัดปริมาณน้ำตาลที่หายไปทุกวัน ด้วยเครื่องไอโดรมิเตอร์หรือรีแฟกโตมิเตอร์ ถ้าปริมาณน้ำตาลลด<br />ลงจนคงที่แล้วและไม่ลดลงอีกเป็นเวลาหลายวัน แสดงว่าการหมักสิ้นสุดแล้ว แต่ถ้าการหมักสิ้นสุดโดยที่ปริมาณน้ำตาลยังเหลืออยู่มาก แสดงว่าเกิดปัญหาขึ้นทำให้การหมักหยุด อาจแก้ไขโดยการเติมส่าใหม่ลงในถังหมัก<br />4. การทำให้ใส เมื่อการหมักสิ้นสุดแล้ว จะต้องถ่ายเอาน้ำไวน์ใสออกมาและทิ้งให้พวกเชลยีสต์ และสารแขวนลอยอื่นๆ ตกอยู่ที่ก้นถัง การถ่ายครั้งแรกควรทำอย่างทันทีที่ปริมาณน้ำตาลหมด เนื่องจากถ้าปล่อยทิ้งไว้ยีนต์อาจเกิดการสลายตัวเนื่องจากการขาดอาหารจึงตายลง ทำให้เกิดกลิ่นรสที่ไม่ต้องการนอกจากนี้การที่ยีสต์ตายลงและสลายตัวจะกลายเป็นแหล่งอาหารของจุลินทรีย์ชนิดอื่นๆ ทำให้ไวน์อาจเสียได้ เมื่อถ่ายไวน์ลงสู่ภาชนะใหม่แล้วจำเป็นที่จะต้องทำให้ไวน์ใส เนื่องจากไวน์ที่ดีควรมีลักษณะใส ไม่มีตะกอน การที่ไวน์ขุ่นนั้นเนื่องมาจากสารสี และสารอื่นๆ ที่ปนอยู่ในน้ำผลไม้ วิธีการทำให้ใสมักนิยมใช้สารช่วยเร่งการตกตะกอน เช่น เจลาติน ไข่ขาว เบนโทไนต์ เป็นต้น โดยเบนโทไนต์ซึ่งต้องละลายน้ำให้มีลักษณะคล้ายโคลนเสียก่อน มักนิยมใช้ในปริมาณ 4 ออนซ์ ต่อไวน์ 1,000 แกลลอนจะช่วยให้ การตกตะกอนในไวน์เร็วขึ้น นอกจากนี้ยังนิยมใช้เครื่องกรองอีกหลายแบบเพื่อช่วยกำจัดตะกอนในไวน์อีกด้วย<br />5. การบรรจุขวด ไวน์ที่จะนำออกขายต้องมีการตรวจสอบคุณสมบัติพื้นฐานต่าง เช่น ปริมาณแอลกอฮอล์ ความเปรี้ยว (acidity) ความหวาน เป็นต้น การบรรจุไวน์เพื่อขายนั้นนิยมบรรจุในขวดที่อาจเป็นขวดสีเขียว สีชา หรือสีขาวก็ได้ โดยก่อนบรรจุมักจะนิยมฆ่าเชื้อในขวดก่อนโดยการฆ่าเชื้อด้วยสารละลายเมตาไบซัลไฟด์ หรือลวกขวดในน้ำเดือด ทิ้งให้อุ่น แล้วจึงบรรจุไวน์ หรืออาจทำการบรรจุขวด แล้วทำการฆ่าเชื้อแบบพาสเจอร์ไรซ์โดยการต้มที่อุณหภูมิ 65-68 องศาเซลเซียส นาน 30 วินาที หรือที่ 58-60 องศาเซลเซียส นาน 1-2 นาที ส่วนจุกของขวดอาจใช้จุกคอร์ก จุกพลาสติก หรือฝาจีบก็ได้</span></p>ZAsahttp://www.blogger.com/profile/17162817877063417407noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1628616998738174643.post-75624248260836563582010-01-04T06:03:00.000-08:002010-01-04T06:25:30.173-08:00<div><br /><br /><br /><div><br /><br /><br /><br /><div><br /><br /><br /><br /><br /><div><br /><br /><br /><br /><br /><div><br /><br /><div><br /><br /><br /><br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEixANvpOw4FoCXAg6pr15w8y3-m0OSI04xuH4g5nXBnS3pG9_sIAbxoCxOeMxoOTy1NS84hQ8PjFSD62Wbsgl9CREwfFioDbE9fqM09jBl80gWjxqOsCV2t5K1LEWgLFXwsfn-TP6F-a51Q/s1600-h/0000001.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5422885254633788146" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 218px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEixANvpOw4FoCXAg6pr15w8y3-m0OSI04xuH4g5nXBnS3pG9_sIAbxoCxOeMxoOTy1NS84hQ8PjFSD62Wbsgl9CREwfFioDbE9fqM09jBl80gWjxqOsCV2t5K1LEWgLFXwsfn-TP6F-a51Q/s320/0000001.jpg" border="0" /></a><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><div><strong><span style="color:#009900;">เชิญล้อมวงเข้ามานั่งบนพรมค่ะ วันนี้จะมาเล่าเรื่องฝรั่งให้ฟังเลยขอไม่ปูเสื่อแบบไทยๆอย่างครั้งก่อนละนะคะขอเล่าครั้งและเล็กละน้อยเท่าที่จะหาเวลาได้ ระหว่างนั่งฟัง กรุณาให้เสียงทักทายกันบ้าง อย่ามัวแต่เงียบไม่งั้นคนเล่าจะเก้อขอเริ่มความเป็นมาก่อนว่าทำไมถึงสนใจพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ ซึ่งมีพระชนม์ชีพอยู่เมื่อ ค.ศ. 1630-1685 ถ้าเทียบกับไทยก็คือ พ.ศ. 2173- 2228ประมาณรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ของกรุงศรีอยุธยาในตอนแรกไม่รู้จักพระองค์ท่านหรอกค่ะ แต่ว่าเคยอ่านพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เรื่อง "นินทาสโมสร" และ "ชิงนาง"ทรงแปลจาก School for Scandals และ The Rivals ของ Richard Sheridanเป็นเรื่องที่สนุกมาก ทั้งสองเรื่อง ต่อมาเมื่อเรียนวิชา Drama ก็พบว่า เชอริแดนเป็นนักเขียนบทละครโด่งดัง ในยุค Restoration Drama ซึ่งเป็นยุคทองของละครประเภทหัสนาฏกรรม(Comedy) ของอังกฤษRestoration ก็คือยุคของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 นี่เองชีวิตของพระองค์เป็นชีวิตที่โลดโผนเต็มไปด้วยสีสันยิ่งกว่านิยาย แปลกที่ไม่ค่อยจะมีใครเอามาทำหนังกันทั้งที่มีครบทุกรส ทั้งตื่นเต้นผจญภัย โศกเศร้า ระหกระเหิน รักร้อนแรง เรียกว่าเป็นราชันย์ที่มีสีสันมากที่สุดพระองค์หนึ่งของอังกฤษก็ว่าได้อัญเชิญพระฉายาลักษณ์มาให้ชมกันก่อน เป็นการเรียกน้ำย่อย</span></strong></div><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><div><strong></strong></div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5422885810229852322" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 186px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj7zNoE210CzwVDw85ct8kyTiEBUNn6TUoZlYvhBZNypZAOGmpGY4vzQrMq-1Ghd-O5p7MBHIpwyJV0YbgtarXEsBqHSA8xzyRX6YpSJBax2nAgMcmhdP_p-5xoFezPw2WhLiyTS1QWAY0l/s320/00000002.jpg" border="0" /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><div align="center"><strong><span style="color:#990000;">ก่อนจะเล่าถึงชีวิตของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 ก็ต้องปูพื้นถึงพระบิดาของพระองค์เสียก่อน และคงจะต้องปูค่อนข้างยาวกลับไปถึงพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 1ใครดูหนัง Shakespeare in Love คงจำได้ถึงพระราชินีอังกฤษที่เสด็จมาดูละคร องค์นั้นแหละค่ะพระราชินีนาถเอลิซาเบธ นางพญาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อังกฤษทรงครองราชย์ในฐานะกษัตริย์ ไม่ใช่เป็นมเหสีของพระราชาและดำรงความเป็นนางกษัตริย์ที่ไม่ได้อภิเษกสมรสกับใคร จนสิ้นรัชกาลราชบัลลังก์อังกฤษก็เลยตกเป็นของพระญาติ ซึ่งเป็นราชาแห่งสก๊อตแลนด์ ข้ามดินแดนมาครองอังกฤษ ทรงพระนามว่าพระเจ้าเจมส์ที่ 1 แห่งราชวงศ์สต๊วต หรือไทยออกเสียงว่า "สจ๊วต" อังกฤษก็เปลี่ยนราชวงศ์จากทิวเดอร์ของพระราชินีนาถ มาเป็นราชวงศ์สจ๊วตนับแต่นั้นพระเจ้าเจมส์ทรงมีพระราชโอรสขึ้นครองราชย์ต่อจากพระองค์ คือพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 พระบิดาของราชาเจ้าสำราญพระรูปนี้คือพระเจ้าเจมส์ที่ 1 ทูลกระหม่อมปู่ของพระราชาเจ้าสำราญค่ะ </span></strong></div><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><div align="center"><strong><span style="color:#990000;"></span></strong></div><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5422886374896207314" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 246px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhDInUVQx6oHi9gZQZKfJXM4k_VeknNCnl3BI213DeN4pLwNPXMY4VWo8x9U9TIgfmJnurCAwMAl8i1DId4gk8PGrB7Pvn1OVodNbg92X4T5HRjV1NtuNM3gK520JxywloCObePS3tFxB6i/s320/000003.jpg" border="0" /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><br /><div align="center"><strong><span style="color:#cc33cc;">พระโอรสองค์ใหญ่ของพระเจ้าเจมส์ที่ 1 สิ้นพระชนม์แต่ยังเยาว์ จึงมีการเลื่อนพระโอรสองค์รองขึ้นมาเป็นรัชทายาทแทน เจ้าชายองค์นี้ต่อมาทรงขึ้นครองราชย์ต่อจากพระบิดา ในพระนาม พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 น่าจะเป็นราชันย์องค์ที่เคราะห์ร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของอังกฤษ ทั้งที่จะว่าไปโดยพระนิสัยแล้วก็ไม่ใช่คนเลวทราม กลับจะน่าสงสารเสียด้วยซ้ำเหมือนกับพระชะตาถูกพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกมาตลอดตั้งแต่ขึ้นครองราชย์ ไม่ว่าจะทรงคิดอะไรทำอะไรก็กลายเป็นก่อความขุ่นข้องหมองใจให้ราษฎรอยู่ไม่มีจบสิ้น </span></strong></div><br /><br /><br /><br /><br /><br /><div align="center">คนใกล้ตัวของพระองค์ก็ไม่ได้ช่วยส่งเสริมบารมี ให้พระองค์เป็นที่รักของประชาชน อย่างเช่นดยุคออฟบัคกิ้งแฮม อดีตคู่ขาของพระบิดา และพยายามจะครอบงำพระองค์ในต้นรัชกาล เป็นที่ชิงชังของราชสำนักอย่างมากพี่แกก็เลยถูกลอบฆ่าตายคนใกล้ตัวอีกคนคือพระมเหสี เจ้าหญิงเฮนเรียตตา มาเรีย พระน้องนางของพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 แห่งฝรั่งเศส ก็ไม่เป็นที่ยอมรับของคนอังกฤษเพราะพระราชินีนับถือคริสตศาสนานิกายโรมันคาทอลิค เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ขุนนางใหญ่น้อยตลอดจนราษฎรส่วนใหญ่ที่นับถือคริสต์นิกายโปรแตสแตนท์ รู้สึกตรงกันว่ากลืนลงคอได้ยาก ความแตกต่างด้านนิกายเป็นเรื่องคอขาดบาดตายใหญ่โตในสมัยนั้น ผู้คนก็เลยพากันรังเกียจพระนาง จนเลยมาถึงการเขม่นพระราชาของตนเองไปด้วย <img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5422887158255142114" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 258px; CURSOR: hand; HEIGHT: 273px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhlyzd3-OatdxoRxiSwK53znAex_y6n-Pkicy6z8jOHXD1xPu60d9Bu90zvRu4_Y5m8V6j5AyO7jUWw9o0JJeCESGzB84wN2h3-sOPWbYjwl-WGEXSI6jMxFwBWO_VpTzepZuRNYZXKAtWu/s320/000004.jpg" border="0" /></div></div></div></div></div><br /><br /><br /><br /><br /><p><span style="color:#003333;">พระเจ้าชาร์ลส์เป็นผู้ที่เชื่อมั่นในพระองค์เอง - ถ้าเรียกแบบสมัยนี้ ส่วนถ้าเป็นสมัยโน้นเขาเรียกกันว่าทรงดื้อหัวชนฝา และไม่ฟังใคร โดยเฉพาะรัฐสภาซึ่งทรงมีเรื่องปะทะขัดแย้งกันในการดำเนินนโยบายการเมือง ทรงปักพระทัยว่าจะทำยังไงก็จะทำยังงั้นให้จงได้ รัฐสภาก็อิดหนาระอาใจกับพระองค์เต็มที โดยเฉพาะเรื่องงบประมาณที่ดึงชักคะเย่อกันไปมา พระองค์จะเอา แต่รัฐสภาก็ไม่ให้ หรือไม่มีจะให้ผลก็คือทรงยืนอยู่มุมน้ำเงิน และรัฐสภาก็ยืนอยู่มุมแดง ชกกันไปชกกันมายืดเยื้ออยู่หลายยกพระเจ้าชาร์ลส์ทรงยึดมั่นว่าอำนาจกษัตริย์มาจากพระเจ้า ไม่ได้มาจากประชาชน ในเมื่อรัฐสภาขัดขวางพระองค์ ก็ทรงยุบสภาไปเลยสงครามกลางเมืองก็เลยระเบิดขึ้น</span> </p><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5422887862424292690" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 233px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjrIf1ag0TIw_nVlpXmInXoCFI4DfhfzTpOSIYFBMmgk7S33JhnTcpekuD3DS_ukL9bQ_nSChNM9qH0OB8699m5c03yhPUDs2U0-XZP_bBamwyyo8KKIou1xB97uPhrH_m0Xi35TUbcBwGc/s320/000005.jpg" border="0" /><br /><br /><br /><br /><br /><p><span style="color:#330033;">เมื่อเจ้าฟ้าชาร์ลส์ทรงลี้ภัยออกจากอังกฤษในครั้งแรก พระชนม์แค่ 18 ทรงเร่ร่อนไปหลายเมืองในยุโรปแบบไม่มีอะไรจะทำ ฐานะก็ลำบากยากจนเพราะไม่มีใครอุปถัมภ์เรื่องเงินๆทองๆ รวมทั้งพระเจ้าลุง กษัตริย์ฝรั่งเศสเวลาว่างของชายหนุ่มวัย 18 ที่ปราดเปรียวอย่างเจ้าชาย จะมีอะไรน่าสนใจมากไปกว่าเรื่องผู้หญิง ก็เลยทรงได้สาวอังกฤษที่เป็นชาวบ้านหน้าตาสะสวยวัยเดียวกันกับพระองค์ ชื่อลูซี วอลเตอร์ มาเป็นพระสนมคนแรกส่วนที่ว่าพบกันตั้งแต่อยู่ในอังกฤษหรือไปพบกันในยุโรป ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ เอาเป็นว่าเมื่อประทับอยู่ที่กรุงเฮก ก็มีพระสนมเรียบร้อยแล้ว ลูซีให้กำเนิดโอรสนอกกฎหมายคนแรกเมื่อเจ้าฟ้าชายมีพระชนม์ 19 เด็กชายคนนั้น ต่อมาเมื่อพระบิดาได้ครองราชย์ เขาได้รับการแต่งตั้งเป็น ดยุคออฟมอนมัธ ชีวิตของเจ้าชายและลูซีเริ่มต้นเหมือนตำนานรักดอกเหมย ประเภทฟันฝ่าฐานันดรรัก จนครองคู่กันได้ แต่ตอนจบกลับตรงกันข้ามทั้งที่ลูซีก็ดูว่ารักใคร่เจ้าชายของหล่อนเป็นอันดี มีทั้งโอรสและธิดา อยู่เคียงข้างกันไม่ห่างต่อมาหนึ่งปีหลังจากนั้นเจ้าชายมีเหตุที่จำเป็นต้องเดินทางไกล ทรงจำต้องทิ้งพระสนมและลูกน้อยเอาไว้ที่กรุงเฮกลูซีเป็นข้อพิสูจน์ของ "สามวันจากนารี...เป็นอื่น" เมื่อเจ้าชายไม่อยู่ หล่อนก็หันไปมีกิ๊กเป็นนายทหารคนหนึ่งแทน เจ้าชายเสด็จกลับมาพบว่าพระสนมมีชู้ไปแล้ว ก็มิได้ลงพระอาญาอย่างใด เพียงแต่เลิกกับหล่อนอย่างเด็ดขาดชีวิตของลูซีก็เลยตกต่ำลงนับแต่นั้น กลายเป็นโสเภณีและสิ้นชีวิตลงด้วยกามโรคในอีก 8 ปีต่อมา </span></p><br /><br /><br /><p><span style="color:#330033;"></span></p><br /><br /><br /><p><span style="color:#330033;"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5422888296093065506" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 233px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg5HOTJhoOkbs_zIsavmV4yPDr62FvBDB240E6jAColaTTOXduOHq-smCX8snOK9PcH4u11Nl5JoOqJrqC0fzQ8MxmiCFqo6KbZBsPbhwAtUcTdQRLX4t0DdqqsPX2w1dw4DA2iqbkzPc_a/s320/000006.jpg" border="0" /></span></p></div></div><br /><br /><br /><p><span style="color:#cc0000;">หลังชัยชนะที่วูสเตอร์ ครอมเวลล์ก็ได้ครองอำนาจต่อมาอย่างไร้ผู้ต้านทานได้อีก เป็นเวลานานหลายปี ความเหิมเกริมในอำนาจทำให้เขากลายเป็นผู้เผด็จการ เขาทำสิ่งที่หนักข้อกว่าพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ทำหลายเท่า เช่นเมื่อถูกส.ส. คัดค้านเขาก็ยุบสภาเอาดื้อๆ ตั้งสภาใหม่ที่ล้วนแล้วไปด้วยลูกน้องสอพลอประจบประแจง ว่าไงว่าตามกัน เขาลักลอบขายพระราชทรัพย์ของหลวงที่เก็บไว้ใน Tower of London นำเงินไปใช้เพื่อบำรุงอำนาจส่วนตัว ถลุงเงินในท้องพระคลังแทบจะเกลี้ยง ทำสงครามกับเนเธอร์แลนด์ 2 ครั้ง เปลืองเงินทอง ผลักภาระด้านภาษีให้ประชาชนแบก แทบโงหัวไม่ขึ้นครอมเวลล์ห้ามความสนุกสนานร่าเริงทั้งหมดในประเทศ ประชาชนถูกห้ามฉลองคริสต์มาส แต่ถูกบังคับให้ถือศีลอด ในวันนั้นแม้แต่ทหาร เมื่อพ้นประจำเวรยามกลับบ้านก็ต้องกลับมานั่งสวดมนตร์ที่บ้าน จะไปเฮฮากันไม่ได้ชาวบ้านผิวปากร้องเพลงดังๆก็ไม่ได้ ต้องสวดมนตร์แทนบ้านเมืองมีแต่ความตึงเครียด ปีแล้วปีเล่าผู้คนรู้สึกตกต่ำและสิ้นหวังในที่สุด ครอมเวลล์ก็กลายเป็นที่เกลียดชังในสายตาประชาชนคนเดินถนนทั่วไป การต่อต้านเล็กๆน้อยๆลุกลามกันทั่วไป จนกระทั่งเขาตายลงเมื่อ 1658 ความอดทนของประชาชนก็สิ้นสุดลงแม้ว่าครอมเวลล์มอบหมายให้ลูกชายสืบตำแหน่งต่อ แต่ไม่มีผลอะไรอีกแล้ว สาธารณรัฐล้มครืนลงมา สังคมเริ่มเหมือนเรือขาดหางเสือ ประชาชนพร้อมใจกันเรียกร้องสังคมอังกฤษแบบเดิมที่มีรัฐสภาจากการเลือกตั้ง และมีระบอบกษัตริย์กลับคืนมาอีกครั้ง ก่อนสังคมอังกฤษจะเข้าสู่วิกฤต ในที่สุดทหารและรัฐสภาก็ต้านทานกระแสประชาชนไม่ไหว หันเหกลับมายอมรับระบอบกษัตริย์อีกครั้ง</span> </p><br /><br /><p></p><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5422889227567001330" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 320px; CURSOR: hand; HEIGHT: 211px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgR3EmKOzJxTEBUadOKtkHl2xNSpShq44-XEoMlfU8djiRzeRN9bNie-Tl9zo7Bz5acBc42jEIz1TSZtSoUggE7ta9_ZG49X3jfUcfWrs1RtikVYLNrxtGPlU7gqIAho56BGxgp-sO7_Ff3/s320/00007.jpg" border="0" /><br /><br /><br /><p><span style="color:#33cc00;">ทางฝ่ายพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 ช่วงชีวิตนับแต่พ่ายแพ้ศึกเป็นช่วงตกระกำลำบากอย่างยากจะเชื่อว่าเกิดขึ้นได้กับผู้เป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินทรงยากไร้สิ้นเนื้อประดาตัว เมื่อบากหน้าไปพึ่งฝรั่งเศส สังฆราชมาซาแร็งอัครมหาเสนาบดีผู้กุมอำนาจตัวจริงแทนพระเจ้าหลุยส์ ที่ 13 ก็รังเกียจเดียดฉันท์ขับไล่ ทรงลี้ภัยไปประเทศอื่นๆในยุโรป ผู้นำก็หวังประจบเอาใจผูกมิตรกับครอมเวลล์เพื่อประโยชน์ทางการค้า จึงพากันขับไล่ไสส่งราชาไร้บัลลังก์ จะทรงหมายปองเจ้าหญิงองค์ไหน พระบิดามารดาก็ทรงรังเกียจไม่ยอมยกลูกสาวให้ราชาที่ไร้เงินทองและตำแหน่งเวลาผ่านไปหลายปี เงินทองที่ได้เล็กๆน้อยๆจากพระน้องนาง เจ้าฟ้าหญิงแมรี่ที่เป็นราชินีม่ายแห่งฮอลแลนด์ก็ขาดแคลนลงทุกที เพราะประชาชนชาวดัทช์พากันต่อต้านไม่ยอมให้ส่งเสีย เจ้าชายกับข้าราชบริพารผู้ภักดีไม่กี่คนอยู่ในฐานะยากจนเกือบเท่าขอทานของเสวยก็มีแต่กระหล่ำปลี และเนื้อจวนเน่า เอามาต้มกินประทังชีวิต เช่าห้องเช่าเล็กๆโทรมๆ ที่เจ้าของห้องทวงแล้วทวงอีก เป็นหนี้เป็นสินแม้แต่ค่าอาหารสิ่งเดียวที่ชะโลมพระทัยให้มีกำลังต่อสู้ชีวิตยากแค้นต่อไปได้ คือไม่ทรงท้อถอยปล่อยชีวิตไปตามบุญตามกรรมที่สำคัญคือไม่ละทิ้งความใฝ่ฝันว่าจะทรงกลับไปครองบัลลังก์ในวันหนึ่ง ให้จงได้ทำให้ทรงอดทนต่อชะตากรรม ไม่ปล่อยองค์ให้จมอยู่กับความสิ้นหวังทั้งนี้ ประสบการณ์สร้างพระอุปนิสัยให้เป็นคนหนักแน่น มองโลกในแง่ดี ยิ้มรับอุปสรรคต่างๆที่เข้ามาในชีวิต ไม่ยอมหดหู่เศร้าซึม และทรงทำพระทัยอภัยให้ความผิดพลาดของผู้อื่นได้ เพื่อจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสิ่งเหล่านี้มีคุณค่าอย่างมหาศาลเมื่อได้ขึ้นครองบัลลังก์ ทำให้รัชสมัย Restoration แม้ว่าไม่ใช่สมัยที่รุ่งเรืองที่สุดของอังกฤษ ก็เป็นสมัยที่มีการจดจำกันระดับแถวหน้าของประวัติศาสตร์</span></p><br /><p><span style="color:#33cc00;"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5422889779168966914" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 305px; CURSOR: hand; HEIGHT: 320px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg4VTgjkuMBBy1EOpcAhmFv6Wqtiw-rH1IKnaEn2FqMKVyOkKMG4pw6GQcEabhyphenhyphenPSJrhxPjCFIOV46vuu-14dzwatLhMo20bWOxMep0nhYenoiibiX59pAC5m93vGIzBATBaY7EHxGh5Dfq/s320/000008.jpg" border="0" /></span></p></div><br /><span style="color:#33ffff;">รัชสมัยของพระองค์ได้รับการขนานนามว่า Restoration ซึ่งแปลว่าการคืนกลับมาทรงสลายสังคมที่ถูกจำกัดสิทธิเสรีภาพ ด้วยความเข้มงวด เขม็งตึงแบบพิวริตันให้กลับมาสู่ความบันเทิงร่าเริงใจอีกครั้ง ประชาชนผ่อนคลายความตึงเครียด มีความสุขมากขึ้น ใครจะร้องเพลง จัดงานรื่นเริง เลี้ยงฉลองคริสต์มาส เต้นรำ สนุกสนานตามแบบเดิม ก็ไม่มีใครห้าม ราชสำนักเต็มไปด้วยเสียงเพลง ละคร ดนตรีและงานรื่นเริง พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 ทรงได้รับสมญาว่า The Merry Monarch หรือราชาเจ้าสำราญที่สำคัญก็คือ..มีหญิงงามผู้เรียงแถวเข้ามาครองตำแหน่งพระสนม อย่างไม่เคยมีมาก่อนในสมัยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ผู้ซื่อสัตย์ต่อพระราชินีเพียงผู้เดียว</span><br /><br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5422890146425365538" style="DISPLAY: block; MARGIN: 0px auto 10px; WIDTH: 204px; CURSOR: hand; HEIGHT: 206px; TEXT-ALIGN: center" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjFCaSUEOg-dEiChxZqzq1VH50i7KjzkFCMrLnJRJoycOfbZvmi5AxMnNMTPNRGaDaLgEYBlQBTq8zSVg7B_UzNbNU7lYlTnm6qZsaUMIre8d46mVLi50Sj_Si1tqf98u-EOfEvNkDp5p81/s320/00009.jpg" border="0" />ZAsahttp://www.blogger.com/profile/17162817877063417407noreply@blogger.com0